Fuji Rock Festival 17 เทศกาลดนตรีใกล้ชิดธรรมชาติ โหดตั้งแต่ไลน์อัพยันสภาพอากาศ ตอนที่ 1
- Story and photos by Montipa Virojpan
28 กรกฎาคม 2560
สวัสดีทุกคน ระเห็ดเตร็ดเตร่ กลับมาแล้ว หลังจากไปขึ้นเขาลงห้วยตากฝนจมโคลนกันมา 4 คืน 3 วัน (อย่าเพิ่งงงว่าทำไมเวลามันแปลก ๆ เดี๋ยวจะเล่าในย่อหน้าต่อ ๆ ไป) ที่งาน Fuji Rock Festival ’17 จัดขึ้นที่ Naeba Ski Resort ในเมืองยูซาว่า จังหวัดนีงาตะ เป็นประจำทุกปี ซึ่งความจริงเราก็ได้ยินชื่อของงานนี้มานานมาก แต่ไม่คิดว่าจะได้ไปในเร็ววันนี้เพราะค่าบัตรที่แพงแสนแพง ไหนจะค่าตั๋วเครื่องบิน ค่าที่พักตอนกลับเข้าเมือง ค่ากินค่าอยู่ บลา ๆๆๆ ยุบยับไปหมด หลังจากคิดเล็กคิดน้อยอยู่นั่น พอไลน์อัพที่เขาประกาศมาว่ามี Björk, LCD Soundsystem, Gorillaz เท่านั้นแหละ เลิกคิดมาก ทุบกระปุกทุ่มสุดตัวให้งานนี้ทันที /เงินน่ะหาใหม่ได้ แต่ประสบการณ์ที่จะได้ดูวงพีค ๆ เหล่านี้ในงานเดียวมันไม่ได้มีบ่อย ๆ นะโว้ย
ซึ่งขั้นตอนการซื้อบัตรก็ไม่มีอะไรยาก เข้าไปที่ GAN-BAN เว็บไซต์ขายบัตรอย่างเป็นทางการของงาน ซึ่งมีภาษาอังกฤษให้ แล้วเราก็เลือกกดแพคเกจที่อยากได้ จะเป็นแบบสามวัน สองวัน วันเดียว จะซื้อแคมป์ไซต์รวมหรือแยกก็ได้ ใครที่เอารถไปจะซื้อที่จอดรถในงานหรือจะจอดข้างนอกก็แล้วแต่ แต่ทุกการซื้อต้องอ่านเงื่อนไขกันดี ๆ ด้วย ไม่งั้นจะซวยแบบเรา (เดี๋ยวเล่าต่ออีกเหมือนกัน)
หลังจากที่หน้ามืดกดบัตรและจอง camp site ไปเรียบร้อยแล้วนั้น เราก็ตั้งตารอให้วันงานมาถึงโดยเร็ว ในปีนี้งานจัดในวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ที่ 28-30 กรกฎาคม โดยเราสามารถเข้าไปจับจองที่กางเต๊นท์กันก่อนได้ตั้งแต่วันที่ 27 ช่วงเย็น เพราะถ้าใครมาช้าจะต้องนอนตรงเนิน ไม่ก็ปีนเขาขึ้นไปตั้งเต๊นท์อย่างลำบากลำบน (แบบเรา) แถมเขาจะมี pre-party ให้ก่อนด้วย เราเองก็เป็นกลุ่มที่ตกลงใจจะไปกันตั้งแต่กลางคืนวันที่ 27 โดยนัดแนะกับเพื่อน ๆ ที่สถานีนัดหมาย Kawagoe ในโตเกียว แต่กว่าจะออกกันก็เกือบเที่ยงคืนแล้ว มีลางสังหรณ์ว่าทำเลดีจะถูกจับจองไปเยอะเหมือนกัน
การขับรถไปถึงที่งานใช้เวลาประมาณสองชั่วโมง จนเมื่อมาถึงที่งาน เราก็ต้องจอดรถกันข้างนอกเพราะไม่ได้ซื้อที่จอดรถไว้แต่แรก (ที่จอดรถมีไว้สำหรับคนที่ซื้อตั๋วพร้อมกันมากกว่าสองใบขึ้นไป แต่พวกเราต่างคนต่างซื้อแยกกันหมดเลย) แล้วตอนที่จะขนของเข้าแคมป์ไซต์ ปรากฎว่าที่แลกริสต์แบนด์ของ GAN-BAN เปิดถึงแค่ 3 ทุ่มจ้า ก็จืดไปจ้า ทีนี้เขาเลยให้แก้ปัญหาด้วยการที่เรากับเพื่อนต้องซื้อแคมป์ไซต์ใหม่อีก 3,000 เยนแล้วรอ refund กับกันบันในวันรุ่งขึ้นแทน
พอเดินเข้ามาในแคมป์ไซต์ด้วยความหัวเสียประมาณนึงที่เราไม่รู้มาก่อนว่าเขาให้รีบมาก่อนสามทุ่ม (อาจจะบอกในอีเมลแล้วแต่อ่านไม่เจอเอง) แต่อย่างน้อยก็มีที่นอนแล้วล่ะวะ พวกเราปีนขึ้นเนินชัน ๆ เพื่อไปตั้งเต๊นท์กัน เล่นเอาเหนื่อยใช่เล่น กว่าจะจัดแจงอะไรเสร็จเรียบร้อยก็พระอาทิตย์ขึ้นพอดี ที่ญี่ปุ่นนี่พระอาทิตย์ขึ้นไวมาก ตีสี่ก็ฟ้าสว่างแล้ว สรุปว่าในคืนแรกได้นอนกันจริง ๆ ตอนตีห้า แล้วตื่นมาอีกทีประมาณแปดโมงเพราะทนความร้อนแดดที่ส่องเข้ามาในเต๊นท์ไม่ไหว แถมเต๊นท์ข้าง ๆ ที่ตื่นก่อนเราก็คุยกันเสียงดังอีก เลยหนีไปอาบน้ำเตรียมดูโชว์แรกในเวลาสิบเอ็ดโมง (ก็ได้วะ)
เราจะขอแบ่งรีวิวนี้เป็นตอนย่อย ๆ เพราะคิดว่าแค่วันแรกก็ยาวเฟื้อยแล้ว มีหลายวงมากจริง ๆ
Day 1
อย่างที่บอกไว้ในบทความเตรียมความพร้อมก่อนที่จะไปในเฟสติวัล จากพยากรณ์อากาศวันนี้น่าจะมีฝนตก เราก็จัดแจงหยิบเอาข้าวของที่จำเป็นอย่างเสื้อกันฝนติดไปด้วย แต่เราก็ตั้งใจจะทดลองบางอย่างด้วยการไม่เอาเก้าอี้สนามและรองเท้าบูทไป อยากรู้ว่าจะเมื่อยขนาดไหน (แรก ๆ ไม่เท่าไหร่ พอช่วงบ่าย ๆ นี่ อู้หูวววว ลู้เลื่องเลยนะคะ) ก่อนเข้างานเราก็แวะซื้อข้าวหน้าไก่ หมู เนื้อ ราดซอสเดมิกลาสที่ขายอยู่หน้าแคมป์ไซต์กินร้อน ๆ อร่อยดี และที่สำคัญคือให้เยอะมาก จากนั้นก็ต้องไปแลกริสแบนด์ (คนละอันกับแคมป์ไซต์) แล้วก็เดินเข้าประตูโซนเฟสติวัลเพื่อตรวจสัมภาระกันก่อน จากนั้นก็สแกนริสแบนด์เพื่อเข้างาน ตรงทางเข้าเขามีแผนที่ใส่ซองคล้องคอให้ พร้อมกับถุงพลาสติกให้หิ้วไปใส่ขยะส่วนตัวหรือจะใช้รองนั่งกับพื้นก็ไม่ว่ากัน
Fuji Rock Festival เป็นงานที่ถือว่าใหญ่มาก ๆ งานนึง เพราะจัดในหุบเขาที่เป็นสกีรีสอร์ท แถมมีเวทีน้อยใหญ่และเวทีลึกลับร่วมสิบเวที บอกเลยว่าถ้าไม่ถึกจริงอยู่ไม่ไหว เพราะเวทีนึงก็จัดห่างจากอีกเวทีแบบต้องเดินข้ามเขาอย่างน้อยหนึ่งลูก แล้วพอวงไหนน่าดูเล่นในเวลาเหลื่อม ๆ กันก็ต้องเผื่อเวลา ไม่ก็ต้องยอมสละครึ่งโชว์เพื่อเดินไปให้ถึงอีกเวทีภายในเวลาด้วย นี่ก็ลองจับเวลาเล่น ๆ จากเวทีนึงไปยังอีกเวทีนึง ใช้เวลาเดินประมาณสิบนาทีเป็นอย่างน้อย เพราะต้องเดินฝ่าฝูงชนในงานไปให้ได้ด้วยเหมือนกัน ยิ่งตอนไหนที่มีวงดัง ๆ มาเล่นแล้วคนแห่กันไปดูน่ะ การจราจรติดขัดยิ่งกว่าวิภาวดีอีกจ้า
วงแรกที่เราตั้งใจจะมาดูคือ Yogee New Waves วงโฟล์กป๊อปเจ้าบ้านที่ฝากผลงานเพลงน่ารัก ฟังสบาย เป็นวงที่ชอบเมื่อตอนวัยใสและคราวนี้ก็ได้มาฟังกับหูเห็นกับตาที่เวที Field of Heaven เป็นเวทีที่ฮิปปี้ที่สุดในงาน มีพวกร้านผ้ามัดย้อม ของแฮนด์เมดน่ารัก ๆ วางขาย แล้วก็มีพวกอาหารเครื่องดื่มออแกนิกขาย เราเลยลองจัดเบียร์ออแกนิกใส่น้ำผึ้งมะนาวไป อร่อยแปลก ๆ ดี จุดนี้หลาย ๆ คนเลือกจะมาชมพระอาทิตย์ขึ้นตอนเช้ากันด้วย ซึ่งถ้านับจากทางเข้างานมาเนี่ย เวทีนี้ถือว่าอยู่แทบจะลึกสุดในงานเลย ระหว่างทางเราต้องเดินผ่านป่าที่ดูสลัว ๆ หน่อย มีการประดับหลอดไฟน่ารักไว้ แล้วมีน้องก้อนหินสี ๆ ที่มีลูกตาชื่อ Gonchan ตั้งอยู่เรียงรายคอยต้อนรับเรา
เราชอบที่การแสดงที่ญี่ปุ่นตรงเวลามาก ๆ บอกว่า 11.10 ก็ตามนั้นเป๊ะ ๆ ซึ่งเพลงที่หยิบมาเล่นก็เป็น Megumi no Amen หรือเพลงที่คุ้นหูกันดีอย่าง Goodbye, Ride on Wave หรือ Climax Night ที่แฟน ๆ ต่างตบมือและช่วยกันร้องท่อนลัลลั้นลากันเสียงดัง แล้วยังมี Live Fans, Like Sixteen Candles และ World is Mine ที่ลีดกีตาร์เพราะมากจนขนลุก Dreamin’ Boy และปิดท้ายด้วย How Do You Feel? เพลงสุดกรูฟที่โยกกันสุดตัวจนจบโชว์ ดีงามมากกับการย้อนวัยครั้งนี้
จบจากพวกเขาแล้วเราก็แวบไปที่เวทีใกล้ ๆ กันอย่าง Gypsy Avalon ที่เน้นเป็นเพลงโฟล์ก เร็กเก้ หรือ world music อย่างวงที่เรากำลังดูอยู่นี้ก็เป็นดูโอ้อินเดีย Upendra and friends plus Mr. Sunil and Sabin เล่นเพลงฮินดี ดีดซิต้าอย่าง spiritual แล้วก็เดินกลับไปที่เวทีใหญ่สุดของงาน Green Stage ที่ตอนนั้นมีวงรุ่นเก๋าอย่าง Group Tamashii กำลังเล่นเพลงสไตล์ Red Hot Chili Peppers กันอยู่ เดือด ๆ ดี พอเล่นจบเพลงก็มีเล่นตลกกันต่ออีกแหนะ (คิดว่ายิงมุขกันอยู่เพราะคนดูขำกันแรงมาก) จากนั้นก็เขยิบไปดูเวทีเล็กใกล้ ๆ กันที่ชื่อ Red Marquee ตอนนั้นมี DÉ DÉ MOUSE ที่เป็นดีเจ เอาเพลงเจป๊อปมารีมิกซ์เป็นอิเล็กทรอกนิกแบบที่เราไม่ค่อยอินเท่าไหร่ เลยตัดสินใจเปลี่ยนเวทีอีกครั้ง
แต่ระหว่างที่เดินอยู่แถวนั้นเราก็เหลือบไปเห็นว่า เขามีแจกชาฟรีจ้า (ในรูปมีแมลงปอเกาะที่หมวกเขาด้วย ฮ่า ๆ) ร้อนเย็นเลือกได้หมด เพียงแต่ต้องเอากระติกน้ำส่วนตัวมาเติมเท่านั้นนะ (ซึ่งเราเอามา กิซซซ เสร็จเจ้) ทีนี้ก็ไม่รู้จะไปดูอะไรต่อดี แต่จากที่จดตารางมาก็เห็นว่ามีดีเจคนนึงที่น่าดูมาก ๆ อยู่ที่เวที Daydreaming ซึ่งทีแรกเราไม่รู้ว่าเวทีมันอยู่ตรงไหน พอลองถามสต๊าฟเขาก็บอกว่า เราต้องนั่งกระเช้า Dragondola ขึ้นไปบนเขากันเลยทีเดียว… จุดนี้ มาทั้งทีก็ต้องลองให้ครบล่ะวะ
สำหรับ Dragondola นี้เป็นกระเช้าที่ต้องเสียเงินเพิ่มในราคา 1,500 เยนสำหรับไปและกลับ เว็บไซต์อย่างเป็นทางการของเจ้าดรากอนโดล่าบอกว่านี่เป็นกระเช้าที่มีเส้นทางยาวที่สุดในโลก ซึ่งดิฉันก็เชื่อนะคะ เพราะใช้เวลาเดินทางทั้งหมดประมาณ 15 นาทียังไม่ถึงยอดเขาเลยค่ะ สูงก็สูง จะตกไปตายกลางทางก็ได้นะเนี่ย กัว ๆๆๆ แต่คุณคะ มันคุ้มค่ามากจริง ๆ กับการขึ้นมาบนนี้ เพราะนอกจากว่าเราจะได้เห็นทิวทัศน์อันงดงามของหุบเขานาเอบะแล้ว เราจะได้เห็นทางลำธารที่มีน้ำใสสีออกโทนฟ้าไหลไปบรรจบกันในทะเลสาบสีฟ้าสวยเลยแหละ ประทับใจมาก
แล้วพอเราถึง ก็ได้เห็นว่ามีภัตตาคาร (อันที่จริงดูเหมือนโรงอาหารขนาดใหญ่มากกว่า) และลานกว้างให้ทุกคนได้มานั่งพักผ่อน เล่นว่าว หรือจะกระทำการเรียกพลังจิตวิญญาณอะไรก็ว่าไป แต่ตอนนั้นเองก็มีเสียงเพลงกระแทกกระทั้นกำลังบรรเลงมาจากบูธดีเจ และนี่คือ JUZU aka MOOCHY ดีเจที่มิกซ์เพลง drum n’ bass เข้ากับบีทฮิปฮอป แจ๊ส แอฟโฟร ฮินดี และ world music อื่น ๆ ได้อย่างเท่ มีเสน่ห์ และเรียงเพลงได้สนุกมาก แบบ มาก ๆๆๆ เรากับคนอีกประมาณ 5-6 คนนี่เต้นกันไม่ได้พักเลย คิดถูกมากจริง ๆ ที่ขึ้นมาสูงขนาดนี้
พอจบจากพี่เขาแล้วเราก็นั่งกระเช้ากลับลงมายังภาคพื้นดิน แต่ตอนนั้นฝนเริ่มตกลงมาหนัก จากที่เคยเล่าไว้ตอนต้นว่าไม่เอาบูทกับเก้าอี้มา ตอนนี้ลำบากละฮะ รองเท้าชุ่มฉ่ำมาก ๆ และเมื่อยมากด้วย ถ้านั่งลงไปนี่มีแต่โคลน แล้วในงานก็หาเก้าอี้แทบไม่ได้เลย ตัวใครตัวมันจริง ๆ อีกอย่างที่ลงมาคือกะจะดูวง OGRE YOU ASSHOLE แต่ไม่ทันเพราะเดินหลงไปเข้าแคมป์ไซต์อีกฝั่ง รู้สึกเศร้ามากในความโง่เส้นทางของตัวเอง ก็คิดดู กว่าจะขึ้นกระเช้า ลงกระเช้า เสียเวลากันไปตั้งเท่าไหร่่่่่ แต่บอกก่อนว่าวงนี้เขาทำเพลงไซคีเดเลียผสมกับแจ๊ส หรือบีท world music นู่นนั่นนี่ได้อร่อยหูมาก ฝีมือร้ายกาจเลยแหละ แต่ถ้าเป็นยุคเก่า ๆ พี่แกก็จะเป็นอินดี้ร็อกสายแบบ Modest Mouse นี่กลับมานั่งฟังที่บ้านยิ่งเสียดาย ฮือ
ตอนนั้นเองก็เลยเขยิบไปดู Gallant สาย r&b ที่กำลังมาแรง featuring กับศิลปินเบอร์ใหญ่ไปทั่ว เขาพูดภาษาญี่ปุ่นคล่องมากกก เลยไม่ค่อยแปลกใช่ละที่ไปร้องกับทาโบล กับเอริก นัม (ไม่เกี่ยว นั่นเกาหลี) ส่วนตัวเราเฉย ๆ เขาอะ ก็เก่งดีในการใช้เสียง แต่ลีลาบนเวทีนี่เหมือนโดนน้ำร้อนลวก และโชว์นี้ดูล้นมาก คือ pitch จริง แต่ไม่ใช่ perfect pitch แล้วนักดนตรีคนอื่น ๆ ก็ดูพยายามจะกินซีนกันเอง ดูแล้วอึดอัด กะจะรอฟัง Cave Me In แต่คงไม่เล่น (เล่นปะวะ) เลยออกมาก่อน แล้วระหว่างที่จะเดินไปเวทีอื่นก็ผ่านวงชื่อ the HIATUS ที่ White Stage เป็นเจร็อกที่ถูกจริต เป็นอิเล็กทรอนิก เบสบวม ๆ หน่อย จัดจ้านดี ส่วนเวที Gypsy Avalon ก็มี Number The. กับ Marter ที่สไตล์ค่อนข้างคล้าย ๆ กัน เป็นโฟล์ก สิงโต นำโชค อะไรประมาณนั้น
แล้วเราก็วิ่งไปที่ Field of Heaven เพื่อดู Father John Misty หลังจากที่รอคอยมานาน ตอนไปอเมริกาเกือบได้ดูแล้ว แต่ชวดกันตลอด พอได้มาดูเลยรู้สึกว่า เพอร์ฟอร์แมนซ์พี่แกก็นิ่ง ๆ แต่ถ้าตั้งใจฟังในระยะประชิดประมาณนึงคือเพลงเขาทรงพลังดี แฟน ๆ ดูโห่ร้องชอบใจกันใหญ่และร้องตามกันบ้างในเพลงแรกอย่าง Pure Comedy ขลังมากเลยนะ จากนั้นก็เป็น Total Entertainment Forever ตามด้วยเพลงชื่อยาว Things It Would Have Been Helpful to Know Before the Revolution และเพลงเพราะเนื้อร้องสุดหม่นอย่าง Ballad of Dying Man และเพลงสุดท้ายที่เราได้ดูคือ When You’re Smiling and Astride Me ก่อนที่จะวิ่งกลับไปเวที Green Stage เพื่อจับจองที่ดี ๆ สำหรับ The xx ซึ่งตอนนั้นเองที่เรามานึกได้ว่า Catfish and the Bottlemen กำลังจะขึ้นเล่นที่เวทีสีขาว เศร้าไปอีก อยากดูทั้งสองวงแต่เวทีถูกคั่นด้วยเขาสองลูก ก็ต้องเลือกล่ะนะ ฮื่อ ๆๆๆ
เรามาถึง Green Stage ก่อนเวลาเกือบ ๆ สี่สิบนาที จนเวลาทุ่มยี่สิบ แสงไฟบนเวทีส่องสว่างขึ้นพร้อมการปรากฏตัวของ Romy, Oliver และ Jamie ที่คนดูก็กรีดร้องกันอย่างบ้าคลั่ง เมื่อซาวด์กีตาร์อันคุ้นหูอย่าง Intro ขึ้นมา จากนั้นจึงเป็นเพลง Crystalised ที่คนยังร้องตามกันกระหึ่ม จากนั้นก็เป็นเพลงจากอัลบั้มใหม่ Say Something Loving และเป็น Islands, Lips, Dangerous, I Dare You ซึ่งต่อไปก็เป็นเพลงที่โรมี่ขึ้นมาเล่นโซโล่ด้วยเสียงกีตาร์ตัวเดียวเงียบ ๆ แต่บาดลึกในเพลง Performance โดยเธอบอกว่าขอมอบเพลงนี้ให้ทุกคนที่ไม่กล้าพูดในสิ่งที่รู้สึกอยู่ออกไป จากนั้นก็เป็นเพลง Infinity และเพลงเอกที่ทำให้เรารู้จักพวกเขาอย่าง VCR ก่อนจะเป็น Fiction ซึ่งโอลิเวอร์นี่ก็ส่งสายตาหยาดเยิ้มยั่วกันอยู่นั่นแหละ ก่อนเข้าเพลง Shelter ต่อด้วยเพลงเท่ ๆ ของ Jamie xx ที่ได้โรมี่มาร้องอย่าง Loud Places แต่คราวนี้มีเบสของโอลิเวอร์เข้ามาด้วย หลังจากช่วงนี้ก็เป็นการโซโล่ของเจมี่เพื่อเชื่อมเข้าเพลง On Hold บอกเลยว่าพาร์ตนี้มันมาก ๆ เต้นกันยับ แล้วพอจบเพลงก็เหมือนจะจบโชว์แล้วเพราะโรมี่พูดขอบคุณคนดู แต่จริง ๆ แล้วยังไม่จบ ซึ่งโอลิเวอร์ดันลงเวทีไปแล้วก็รีบคว้าเบสกลับขึ้นมา มีความงงที่น่ารัก ๆ ตลก ๆ เกิดขึ้น ก่อนจะส่งเพลง Angels มาปิดท้าย เป็นอีกโชว์ที่สร้างความบันเทิงให้ได้เป็นอย่างดีกับการดูท่างัด ๆ ขวิด ๆ กีตาร์/เบสใส่กันอันเป็นเอกลักษณ์ของโรมี่กับโอลิเวอร์นั่นแล
หลังจากนี้เราก็ไม่ขยับไปไหนแล้วฮะ ยืนรอกันยาว ๆ เช่นเดียวกับอีกหลายคน เพราะวงต่อไปที่จะขึ้นเล่นในเวทีเดียวกันนี้คือ Gorillaz ซึ่งเป็นวงที่ทำให้เราตัดสินใจมางานนี้นั่นเอง สำหรับวัยอย่างพวกเรายังไงมันต้องได้ฟังเพลงกอริลลาซอย่างน้อยสักเพลงแล้วร้องได้ อย่าง Feel Good Inc. งี้ต้องมาแน่ ๆ เพราะ Channel [V] ชอบเปิดกรอกหู ด้วยการนั้นเองล่ะมั้งเลยทำให้เพลงพวกนี้ซึมซับมาในตัวเราตั้งแต่เด็ก ๆ และคิดว่าถ้าได้มาดูโชว์ของจริงในรอบหลายปีหลังจากที่เขาเพิ่งปล่อยอัลบั้มใหม่ Humanz ออกมาแล้วด้วยเนี่ยจะต้องดีแน่ ๆ
หน้าจอ LCD ยักษ์ฉายสัญลักษณ์ดวงตาบนพื้นหลังสีฟ้า เป็นทีที่แฟนเพลงกอริลลาซรู้กันว่าพวกเขากำลังจะมาปรากฏตัว ซึ่งจังหวะนี้เองที่คนดูก็เริ่มเขยิบขึ้นมาข้างหน้ามากขึ้นเรื่อย ๆ (แต่ยังไม่อึดอัดเท่าตอน The xx ที่เบียดจนฉันจะกระเด็น) แล้วพอ Murdoc กับ 2D ขึ้นมาทักทายแฟน ๆ บนจอ ทุกคนก็กรีดร้องต้อนรับ พร้อมกับภาพที่เปลี่ยนเป็นเหมือนคลื่นสัญญาณที่พูดว่า ‘Hello, is anyone there?’ ประมาณ 3-4 รอบ ซึ่งนั่นเป็นส่วนหนึ่งของเพลง M1 A1 นั่นเอง ตอนที่ Damon Albarn ขึ้นมาบนเวทีพร้อมกีตาร์เหมือนถูกฉาบด้วยรังสีของฟรอนต์แมนวง Blur ยังไงยังงั้น แบบ โอ๊ย น้ำตาจะไหล พ่อขึ้นมากรีดกีตาร์อยู่ตรงหน้าเราตัวเป็น ๆ ในเพลงสุดเท่เพลงนี้ จากนั้นก็เป็นช่วง intermission ด้วย I Switched My Robot Off ที่ส่งเข้าเพลงสุดเดือดอย่าง Ascension จากชุดใหม่ที่เราและคนดูหลายคนก็เริ่มโดดกันแล้ว ตามมาด้วยเพลง Last Living Souls ก่อนจะกลับมาที่โลกของ Humanz ด้วยเพลงซาวด์หลอนอย่าง Saturnz Barz และย้อนกลับไปที่ชุดแรกสุดกับ Tomorrow Comes Today
ตอนนี้เองที่เดมอนได้ทักทายแฟน ๆ อย่างเป็นทางการ เขาบอกว่านี่เป็นครั้งที่สองที่ได้มาเล่นที่ญี่ปุ่น แต่เป็นครั้งแรกในเวทียักษ์ใหญ่ จากที่ก่อนหน้าในปี 2001 ยังเป็นแค่โชว์เล็ก ๆ มีจอไว้ยิงวิชวลอยู่แค่นั้น แล้วเขาก็นำกลับเข้าโชว์ด้วยเพลง Rhinestone Eyes พร้อมภาพสตอรี่บอร์ดแบบที่ได้ดูกันในมิวสิกวิดิโอ เราว่ากอริลลาซเป็นวงที่ใช้ภาพประกอบได้คุ้ม ไม่มีทิ้งขว้าง สร้างอะไรไว้ก็เก็บมาใช้ต่อทั้งหมด ดีใจแทน Jamie Hewlett ผู้ออกแบบคาแร็กเตอร์กอริลลาซทั้งสี่ตัว จากนั้นก็เป็นเพลงล่าสุดที่ปล่อยออกมาอย่าง Sleeping Powder ที่เป็น 2D เดี่ยวเปียโนให้เราดูบนจอ แล้วจึงเป็นเพลง 19/2000 ที่ทุกคนร้องตามน้อง Noodle ในท่อน ‘Get the cool, get the cool shoeshine’ กันได้หมด และตามมาด้วยเพลงที่อินที่สุดสำหรับเรา เอาจริงว่าช็อกมาที่เล่นเพลงใส ๆ แต่เนื้อหาสุดเคว้งคว้างนั่นคือ On Melancholy Hill เพราะตอนงานใหญ่ Demon Dayz Festival ก็ยังไม่เล่นเพลงนี้ พออินโทรที่เป็นการ์ตูนตอนนูเดิ้ลถูกไล่ล่าขึ้นมานี่เราน้ำตาไหลเลย ดีใจมาก ๆ ก่อนที่จะเป็นเพลง Busted and Blue ที่แฟนเพลงชูมือถือขึ้นมาเปิดไฟแฟลชส่องขึ้นไปบนเวที เป็นภาพที่อบอุ่นมาก แล้วต่อด้วยเพลง El Mañana
ต่อไปนี้ก็เป็นช่วงที่เล่นเพลงใหม่รัว ๆ แต่โชว์ก็สนุกขึ้นเรื่อย ๆ เช่นกัน Strobelite ซึ่งเพลงนี้ได้ Peven Everett มาร่วมโชว์พลังเสียงในเพลงจังหวะดิสโก้เพลงนี้ ตามมาด้วยเพลงโปรดของเราจากอัลบั้มใหม่อย่าง Andromeda ที่ถึงจะเป็นเพลงเร็วแต่เนื้อหาก็ชวนให้ซึมได้เหมือนกัน แล้วก็เปลี่ยนฟีลกันที่เพลง Sex Murder Party ที่มี Jamie Principle กับ Zebra Katz มาร้องด้วย งานนี้บอกเลยว่าคอรัสเยอะและทรงพลัง ทีมนักดนตรีตัวโหด รวมถึงนักร้องที่มา featuring แน่นเวทีมากจริง ๆ เพราะเราแอบคิดว่าเดมอนอยากจะดันให้เหล่าคนที่มีความสามารถพวกนี้ได้มาอยู่ในพื้นที่ที่ทุกคนจะให้โอกาสพวกเขาไปต่อได้ ต่อกันที่เพลงน่ารักอย่าง Out of Body ที่แม่สาว Kilo Kish ขึ้นมาบนหน้าจอ ก่อนจะส่งให้ Zebra Katz ลุยแร็ปต่อ แต่เพลงต่อไปเขากลับเลือกจะหวนไปหางานชุดเก่า สงสัยกลัวคนดูจะเหวอมากไปกว่านี้เลยส่งเพลง Dare มาให้ฟังกัน รอบนี้ล่ะร้องตามกันให้รึ่มก่อนที่จะเป็น We Got the Power ปิดท้ายในช่วงนี้
เดมอนและเหล่านักดนตรีก้าวลงไปจากเวที ทำให้แฟน ๆ ต้องร้องเรียกพวกเขาอยู่เนิ่นนาน แต่การกลับมาอีกครั้งบนเวทีของพวกเขาหลังอังกอร์ก็มาพร้อมอีกเพลงดังอย่าง Stylo ซึ่งสิ่งที่ทำให้รู้ว่าเป็นเพลงนี้หาใช่แต่อินโทรของเพลง แต่คือการ์ตูนที่ปรากฏบนจอซึ่งเป็นฉากใน mv ของเพลงนี้นั่นเอง รอบนี้คือเอาเพลงเก่าเพลงดังมารัว ๆ เพราะต่อด้วย Kids With Guns ที่เจ้าตัวเองก็เล่นมันเกินจนเหนื่อยและต้องลงไปนอนบนเวที แล้วกลับมาที่เพลง Clint Eastwood พร้อมกับทำหน้าทะเล้นเล่นกับคนดูที่กำลังถ่ายรูปเขาอยู่ คือเรารู้สึกเลยว่าเดมอนเป็นทั้งเอนเตอร์เทนเนอร์ที่ดีและมีความใกล้ชิดกับแฟนเพลงสูงมาก มีทั้งความเป็นพ่อ พี่ เพื่อน ของพวกเรา ไม่รู้อินเกินไปไหม แต่ในโชว์ของเขามันทำให้รู้สึกแบบนั้น เพราะเราโตมากับเพลงของเขาด้วยล่ะมั้ง
ต่อมาก็เป็นเพลงที่เขาไปเดี่ยวเปียโนใน Don’t Get Lost in Heaven ซึ่งเป็นเพลงที่ปรับมู้ดให้ feel good (inc.) มาก ๆ (แต่ดันไม่เล่นเพลงนั้นไง! Dirty Harry ก็ไม่ได้เล่น แต่ไม่เป็นไรอะ แค่นี้ก็ฟินมาก ๆ แล้ว) และสุดท้ายก็ส่งเราเข้านอน หลับฝันดีในเพลง Demon Days กับการปิดฉากด้วยภาพคล้ายกระจกสีในโบสถ์ แต่เป็นคาแร็กเตอร์กอริลลาซทุกคนและเด็กน้อยนั่งอยู่รวมกัน พร้อมกับคอรัสที่ส่งเสียงประสานในเพลงนี้ ให้ความรู้สึกที่อบอุ่นเปี่ยมพลังแบบบอกไม่ถูก แล้วภาพบนจอก็ค่อย ๆ เฟดจนกลายเป็นรูปกลม ๆ เหมือนตอนต้น แต่มีสีส้มอุ่นคล้ายดวงอาทิตย์ที่กำลังจะลับขอบฟ้า ถ้าทุกอย่างที่เล่ามาเป็นอย่างที่คิดนะ เราว่าวิธีการทำโชว์และการใช้สัญญะหลาย ๆ อย่างในโชว์ของ Gorillaz เป็นอะไรที่ฉลาด แฝงประเด็นความฝัน ความหวังที่จะเห็นสิ่งใหม่ที่ทำให้โลกใบนี้น่าอยู่ และใส่ใจกับทุกรายละเอียดไปจนถึงความรู้สึกที่คนดูจะได้รับจากโชว์จริง ๆ
เอาเป็นว่า ขอจบการรายงานในวันแรกแต่เพียงเท่านี้ก่อน เพราะแค่นี้ก็ยาวมาก ๆ แล้ว เดี๋ยววันที่สองและวันที่สามจะมาเล่าต่อเร็ว ๆ นี้ ไม่นานเกินรอ