ตามติดชีวิต PYRA และอีก 2 ตัวแทนประเทศไทยใน Converse_X_ ครีเอทีฟแคมเปญระดับโลก (ตอนที่ 1)
- Writer: Montipa Virojpan
- Photographer: Converse Team and Montipa Virojpan
ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา Fungjaizine มีโอกาสไปตามติดชีวิตของ PYRA, อีฟ LUREAR และ แตม ชยานันต์ 3 คนรุ่นใหม่ที่เต็มไปด้วยพลังสร้างสรรค์จากไทย ที่กำลังจะได้ไปพบกับตัวแทนจากประเทศต่าง ๆ รวมทั้งสิ้น 21 คน ในแคมเปญ Converse_X_ ที่มีมาแล้ว 3 ปี จากครั้งก่อน ๆ จัดขึ้นที่ ลอส แอนเจลิส เซา เปาโล ลอนดอน และในปีที่ 4 จุดหมายปลายทางของพวกเราก็มาอยู่ที่ประเทศมาเลเซีย
ต้องเล่าก่อนว่า โครงการนี้เป็นการคัดเลือกวัยรุ่นจากทั่วโลกที่สร้างผลงานที่ไม่เหมือนใคร และมีภาพลักษณ์โดดเด่น สามารถพูดแทนตัวตนของแบรนด์ Converse ได้ มารวมตัวทำกิจกรรมร่วมกันในเมืองที่จะได้พบกับความหลากหลายของผู้คน ศาสนา และวัฒนธรรม ซึ่งความแตกต่างพวกนี้อาจสร้างแรงบันดาลใจ นำไปต่อยอดในงานสร้างสรรค์ที่พวกเขากำลังทำอยู่ ผู้ร่วมโครงการนี้มีทั้งนักแต่งเพลง แร็ปเปอร์ นักร้อง กราฟฟิกดีไซเนอร์ แฟชันดีไซเนอร์ อาร์ตไดเร็กเตอร์ ช่างภาพ นักเขียน บาริสต้า แล้วตอนนี้เราก็ตื่นเต้นมาก ๆ ที่จะได้ร่วมติดตามพวกเขาไปทำกิจกรรม 5 วันเต็มใน 3 เมือง ได้แก่ กัวลาลัมเปอร์ อิโป และปีนัง ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
21 พฤษภาคม 2562
ระหว่างที่กำลังเดินทางจากสุวรรณภูมิ เราก็ได้พูดคุยกันนิดหน่อยถึงเหตุผลที่ทำให้ ไพร่า อีฟ และแตม ได้รับเลือกเป็น Converse_X_ ในปีนี้ ก้ได้คำตอบว่าหลัก ๆ แล้วทีมงาน Converse ของแต่ละประเทศจะคัดเลือกจากคนใน creative industry หรือวัยรุ่นที่มี Instagram account น่าสนใจ เป็นตัวของตัวเอง อย่างไพร่าก็เป็นศิลปินที่วาง positioning ทั้งลุคและแนวเพลงของตัวเองไว้อย่างชัดเจน รวมถึงทำ marketing และ distribute ตัวเองไปยังค่ายเพลงต่างประเทศ เธอเคยร่วมโครงการ Sunkist Freshly Picked ของ ฟังใจ และได้ร่วมเป็นศิลปินในไลน์อัพของเฟสติวัลใหญ่ ๆ อย่าง Burning Man มาแล้ว ล่าสุดยังได้ทีมของ Karma Studios อดีตโปรดิวเซอร์ของ Hans Zimmer ศิลปินชื่อดังมาเป็นผู้จัดการส่วนตัวด้วย
ทางด้าน อีฟ ก็เป็น tattoo artist อยู่ที่ Left & Right Studio และเป็นนางแบบที่แต่งตัวได้เท่มาก ๆ คนนึง นี่เป็นการร่วมโครงการครั้งที่สองของเธอจากที่ครั้งก่อนเคยได้ไป Converse_X_ LA มาแล้ว
ส่วนแตมก็เป็น creative writer ให้กับแบรนด์ Everyday Karmakamet บางครั้งก็จัดปาร์ตี้ดูดวงกับเพื่อน ๆ เห็นว่าเร็ว ๆ นี้ก็กำลังจะจัดงานอีกรอบด้วย
เรามาถึงสนามบินนานาชาติกัวลาลัมเปอร์ตอนเกือบ ๆ สี่โมง พอเข้าด่านตรวจ รับกระเป๋าอะไรเรียบร้อย ทางทีมงานก็ส่งคนมารับเราที่สนามบิน เขาถามเราว่า Converse ใช่ไหม พอบอกว่าใช่ก็เดินตามต๊อกแต๊กขึ้นรถไป นั่งมาได้สักพักลุงอิสมาอิลคนขับเขาก็ถามเราว่า ‘ไหน คนไหนในนี้คือมิสเตอร์ RJAY’ สี่คนงงตาแตกเลยค่า พอได้ดูป้ายชื่อที่เขาชูอีกทีก็พบว่า เอ้า นั่งรถที่เขาส่งมารับอีกคน!!! ยังไม่ทันเริ่มงานก็สนุกแล้วแม่ ลุงอิสมาอิลแกเลยวนรถกลับมาส่งเราที่สนามบิน ดีนะที่ไม่ไกลมาก จนเราได้เจอกับคุณ RJAY คนที่รถต้องมารับตัวจริง ซึ่งต่อมาก็พบว่าเขาเป็นแร็ปเปอร์จากมะนิลา ฟิลิปปินส์ ที่จะมาเล่นใน launch party Converse x GOLF le FLEUR รุ่นล่าสุดที่แบรนด์ GOLF WANG ของ Tyler, the Creator มาร่วม collaborate ด้วย ส่วนพวกเราก็รอให้รถอีกคันมารับไปส่งที่โรงแรมแทน
เมื่อรถคันของพวกเรามารับ ก็ได้งีบยาว ๆ เพราะระยะเวลาจากสนามบินถึงที่พักกินไปประมาณหนึ่งชั่วโมงเต็ม พอถึงโรงแรม KL Journal ระหว่างที่เช็กอินก็เจอสองผู้ร่วมโครงการจากเวียดนาม คือ April และ Hy เข้ามาคุยกับพวกเรา ก่อนที่จะแยกย้ายขึ้นห้องพักของตัวเอง เตรียมตัวมาเจอกันที่สระว่ายน้ำสำหรับ opening party ในค่ำคืนนี้
เราเข้าไปในห้องพักและพบว่ามีกล่องปริศนาขนาดใหญ่เขียนว่า Fungjai และกระเป๋าผ้า Converse_X_ ว่างตระหง่านอยู่บนเตียง พร้อมกับ press kit ที่ใส่รายละเอียดของโครงการและตารางกิจกรรมทีจะเกิดขึ้นตลอดทั้ง 5 วันนี้ เราเริ่มสำรวจของทีละอย่าง ในกล่องใหญ่มี Converse Chuck 70 สี dark burgundy ส่วนในกระเป๋าผ้าก็มี universal adapter ซิมการ์ด บัตรโดยสาร และสารพัดขนมขบเคี้ยวของมาเลเซีย โฮ่ น่ารักมาก ๆ
หลังจากพักผ่อน เปลี่ยนใส่รองเท้า Converse คู่ที่เพิ่งได้ ตอนประมาณทุ่มนึงเราก็ขึ้นมาที่ The Swimming Club รูฟท็อปบาร์ที่มีสระว่ายน้ำอยู่ชั้นบนสุดของโรงแรม มีอาหารเย็นและเครื่องดื่มให้ตามอัธยาศัย ตอนนี้หลาย ๆ คนก็เริ่มเข้ามาภายในงาน ทั้งสื่อ ทีมงานผู้จัด และ Converse_X_ คนอื่น ๆ ก็มาพบปะพูดคุยกันก่อนจะเริ่มปาร์ตี้อย่างสุดเหวี่ยงกันตั้งแต่ในคืนแรก แต่ละคนมาจากหลากหลายที่ ทั้งมาเลเซียเอง เวียดนาม อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย ชิลี โปแลนด์ ทุกคนดูสนิทกันเร็วมาก มี dance battle กันประปราย และมี speaker ที่ได้รับเชิญมาบางคนโดนจับโยนน้ำด้วย
ความตลกคือในงานนี้เราได้เจอกับเพื่อนจากอินโดนีเซีย ชื่อ Amelia Vindy ก่อนหน้านี้เธอมากรุงเทพ ฯ เพื่อดู DIIV แล้วเราก็รู้จักกัน ก่อนจะไปเจอกันอีกทีโดยบังเอิญที่ Laneway Festival สิงคโปร์เมื่อปี 2018 เพราะแฟนเก่าของเธออยู่วง Heals และได้ไปเล่นที่งานนี้ คราวนี้วินดี้มาในฐานะสื่อเหมือนกัน ก็เลยหาจังหวะไปเดินเที่ยวที่ตลาดของมือสองแถว Kampung Baru แตมกับอีฟไปกับเราด้วย ซึ่งแตมก็ได้เสื้อเล่นสกีสีสดในราคา 5 ริงกิต คือถูกมากกกก แล้วทีแรกว่าจะไปกินอาหารทะเลร้าน Restoran Stadium Negara ที่วินดี้บอกว่าอร่อยมาก แต่น่าจะปิดแล้วเพราะเป็นเดือนรอมฎอน (มาเลเซียเป็นเมืองมุสลิมอะเนาะ) เลยต้องหาร้านที่พอจะเปิดแถวนั้นกิน เลยลงเอยที่ Pekan Station ฟีลเหมือนสเต็กลุงหนวดไม่ก็ Jeffer บ้านเรา ส่วนทางด้านรสชาตินั้น… ข้ามไปค่ะ เราก็ตัดสินใจเรียก Grab กลับโรงแรม คือแกร๊บบ้านเขาถูกมาก ๆ เลยไม่ต้องลังเลว่าจะนั่งแท็กซี่หรือเดินกลับดี พอถึงโรงแรมกลับพบว่ามีผู้รอดชีวิตจากปาร์ตี้นั่งรออยู่ที่ล็อบบี้ บอกว่าจะไปต่อกันที่ Pisco Bar ใกล้ ๆ กับที่พัก เราที่ยังพอไหวก็เลยตามไป
พอถึง สภาพร้านมีความเหมือนบาร์เม็กซิกัน บรรยากาศดี เปิดเพลงชิลฮอป r&b มีทีมงาน Converse แจกจ่ายเครื่องดื่มให้กับพวกเราไม่ยั้ง แล้วความตลกคือเวลาไปงานที่มีคนจากหลายประเทศ ก็จะมีการสอนคำหยาบคายในภาษาต่าง ๆ กันเหมือนเป็นธรรมเนียม ก็สอนแจกอวัยวะต่าง ๆ กันอย่างสนุกสนาน ก่อนที่เรากับเอพริลจะเริ่มง่วงและขอลากลับไปนอนก่อน
22 พฤษภาคม 2562
หลังจากเมาแฮงก์กันไปประมาณนึงจากคืนก่อน เราก็ตื่นมากินอาหารเช้าเตรียมตัวไปเวิร์กช็อปวันแรกกันที่ Zhongshan Building อาคารเก่าสามชั้นของสมาพันธ์เซอลาโงร์–จงซาน กลายมาเป็น art hub ที่เต็มไปด้วยร้านของกระจุกกระจิก ร้านหนังสือ และร้านขายแผ่นเสียง Tandang Records ที่เราได้แผ่น Bjork กับ Slowdive ชุดแรกมาในราคาถูกแสนถูก ก่อนจะไปเดินดูรอบ ๆ กันต่อทุกคนก็มานั่งที่ลานกิจกรรมด้านใน ตอนนี้ก็มี talk ระหว่างทีมงาน Converse กับ speakers ที่จะมานำเวิร์กช็อปในวันนี้ ได้แก่ Michael Donnor เป็น Brand Design Manager ที่นำทีมครีเอทีฟของ Converse กว่า 44 ประเทศทั่วโลก รับหน้าที่ผู้ดำเนินรายการ และมีผู้ร่วมเสวนาคือ Brooke Bergland เป็น Design Director ของเสื้อผ้าและเครื่องประดับในคอลเล็กชันพิเศษของ Converse, Kitty Yiyi ไลฟ์สไตล์บล็อกเกอร์และแฟชันดีไซเนอร์ชื่อดังของมาเลเซีย, Fahmy และ Nana จาก FIN แบรนด์เสื้อผ้าที่ยึดคอนเซปต์ ‘mottainai’ ของญี่ปุ่น หรือก็คือการไม่ใช้ทรัพยากรอย่างสิ้นเปลือง เรียกว่าเป็น sustainable fashion ที่เอาเศษผ้าเหลือใช้มาเป็นลวดลายประดับตกแต่งโดยใช้เทคนิค boro นั่นเอง และคู่สุดท้าย Valery กับ Xia Yi พวกเธอเป็นกราฟิกดีไซเนอร์และช่างภาพที่นึกสนุกอยากร่วมงานกันด้วยการทำศิลปะคอลลาจ
เมื่อเริ่มเสวนา พวกเขาได้พูดคุยถึงการเป็นคนที่อาศัยในเมืองที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมที่สร้างแรงบันดาลใจมากมาย รวมถึงการทำงานในสายอาชีพใช้ความคิดสร้างสรรค์ ที่นอกจากจะต้องมีจุดยืน ความกล้าที่จะทำในสิ่งที่ตัวเองคิดแล้ว หลายครั้งจะต้องผ่านการประสานงานและเรียนรู้จากคนที่ทำในภาคส่วนที่แตกต่างกันไป เข้ากับคอนเซ็ปต์ของ Converse_X_ ที่อยากให้ผู้เข้าร่วมโครงการทุกคนได้แบ่งปันทักษะและมุมมองสร้างสรรค์ในแบบของตัวเองกับคนอื่น ๆ ในการสร้างชิ้นงาน เมื่อบรรยายเสร็จ ทีมงานก็เปิดโอกาสให้ถามคำถามได้ Price สาวเสียงดีจากออสเตรเลียก็ยกมือถามว่า เวลาทำงานร่วมกับคนอื่นแล้วเจอข้อจำกัดอะไรบ้างไหม บรู๊กก็ตอบว่า ไม่มี เพราะสุดท้ายแล้วเราจะหาความเป็นไปได้ หรือเจอ ‘ที่ลง’ ในกระบวนการทำงานนั้นร่วมกับคนอื่น ๆ ได้เอง จบจากตรงนี้เราก็พักกินอาหารกลางวัน เป็นซาวร์โดแซนวิชแสนอร่อยจากเบอเกอรี่ชื่อดัง Tommy le Baker ที่พวกเขาอบขนมปังหอม ๆ รอพวกเราตั้งแต่ตอนฟังบรรยายแล้ว ระหว่างกินข้าวพวกเขาก็เปิด IGOR อัลบั้มล่าสุดของ Tyler, the Creator ให้ฟังประกอบการกินไปเพลิน ๆ
เวลาเที่ยงครึ่ง สามคนจะถูกแบ่งกลุ่มให้ไปอยู่กับเพื่อน ๆ จากประเทศที่ต่างกัน รวมทั้งหมด 7 กลุ่ม โดยกลุ่มนึงจะได้เริ่มทำเวิร์กช็อปเย็บกระเป๋าผ้ากับ FIN ก่อนจะสลับไปทำคอลลาจอาร์ตกับวาเลอรี่และเจี้ยยี่ บอกเลยว่าตอนทำเย็บกระเป๋านี่สนุกมาก ถึงตอนแรกจะทุลักทุเลเพราะไม่ได้จับเข็มมาตั้งแต่วิชาคหกรรมตอนมอปลาย แต่ทำไปเรื่อย ๆ ก็เหมือนได้ทำสมาธิเหมือนกัน ระหว่างนั้นบรู๊กกับนาน่าก็เดินมาเช็กเป็นระยะ ๆ รวมถึงให้ความช่วยเหลือกับฝีเข็มของอิฉัน บรู๊กถามว่าเป็นไงบ้าง เราก็เล่าไปตามนั้นอะค่ะ เขาบอกว่าจริง ๆ แล้วก็ไม่ชอบนะ แต่สุดท้ายแล้วก็ต้องทำให้เป็น เอาให้พอรู้ ไม่ต้องให้เก่งที่สุด เพื่อว่าจะได้เอาไปคุยกับช่างเย็บที่ทำงานด้วยได้ ส่วนนาน่าก็อุตส่าห์ชมว่าถึงจะเบี้ยวตอนแรก ๆ แต่แก้เกมได้ดีนะ แล้วก็ฝีเข็มสม่ำเสมอดี ฟังแล้วใจชื้นค่ะแม่ ทำต่อไป
ระหว่างนี้เราก็ได้พักแล้วก็ชวนแตมไปเดินเล่นต่อรอบ ๆ ตึก พบว่ามีห้องนึงที่ถูกแต่งด้วยม่านวิบวับเมทัลลิกสีชมพู พร้อมกับมีดิสโก้บอล และเล่นเพลง Plastic Love แบบรีมิกซ์ มีนางแบบใส่เสื้อผ้าคอลเล็กชันของ Kittie Yiyi ยืนโยกตามจังหวะเพลง ซึ่งเราก็สามารถหยิบเสื้อผ้ามาใส่ถ่ายรูปกับนางแบบหรือฉากรอบ ๆ ห้องได้ แล้วก็เดินไปที่คูหาข้าง ๆ ก็เจอกับ Malaysia Design Archive ซึ่งเป็นเหมือนพิพิธภัณฑ์ที่เก็บเอาทุกงานออกแบบสิ่งพิมพ์ของมาเลเซียในอดีตไว้ มีตั้งแต่กระดาษห่อไอศกรีมสมัยก่อน นิตยสารแฟชันตั้งแต่ยุค 70s ปกแผ่นเสียง เป็นกล่องวางเรียงกันละลานตา บางอันที่ให้ดูไม่ได้เพราะกระดาษเก่ามากจนกรอบ แต่เขาเห็นว่าเราสนใจก็ยังอุตส่าห์แบกลงมาให้ดู ส่วนใหญ่ไปเป็นงานที่ขอมาจากโรงงานโดยตรง ไม่ก็เป็นของที่ชาวบ้านบริจาคเข้ามาให้ เป็นบุญตามาก ๆ
เพลิดเพลินกับของหาดูยากได้ไม่เท่าไหร่ก็โดนโทรตามให้กลับไปทำคอลลาจเวิร์กช็อป เจอวาเลอรี่กับเจี้ยยี่กำลังพูดบรรยายถึงคอนเซ็ปต์ของการทำคอลลาจนิดหน่อย คือเราต้องช่างสังเกต และมองเห็นความเป็นไปได้ในของที่เราจะเลือกมาตัดแปะรวม ๆ กัน อันไหนที่เรามองข้ามไปจริง ๆ มันอาจจะมีสี ลวดลาย หรือรายละเอียดที่น่าสนใจ อาจจะไม่ต้องคัดมาตามรูปทรงของมันเป๊ะ ๆ แต่เราเลือก texture นั้นมาปรับแต่งตามใจชอบเพื่อให้เหมาะกับงานของเราก็ได้ ก่อนจะลองสาธิตให้เราดู พอตอนทำเราได้มาอยู่กับกลุ่มของอีฟ ไพรซ์ และ Hien ช่างภาพเชื้อสายเวียดนามจากโปแลนด์ โจทย์ที่พวกเราได้คือ ‘movement’ หรือการขับเคลื่อน ในที่นี้อาจจะเป็นแค่การเคลื่อนไหว หรือเป็นการผลักดันให้เกิดการปฏิรูปเปลี่ยนแปลงก็ได้ ทีมอื่น ๆ เห็นว่าจะได้ธีมอย่าง ศิลปะ วัฒนธรรม การปฏิวัติ ก็แล้วแต่ใครจะตีความออกมาตามจินตนาการของตัวเองเลย
ก่อนจะพากันกลับไปที่โรงแรม ก็มีการถ่าย group shot ของ Converse_X_ ทุกคนกันที่ street art ข้าง ๆ ตึกจงซาน โดยคนที่รับหน้าที่ถ่ายภาพ official ในทุก ๆ วันคือ Maison Poole ช่างภาพที่เคยร่วมงานกับ Beyonce และ Jay-Z คือไม่ธรรมดามากจริง ๆ ลุยเดี่ยวแบบไม่มีผู้ช่วยช่างภาพด้วยจ้า ระหว่างถ่ายภาพนิ่งและวิดิโอ Choee หนึ่งในทีมงานก็เปิดเพลงบิลด์ให้กับทุกคน แล้วไม่นานไพรซ์กับไพร่าก็เป็นคนนำทุกคนร้องเพลงไปพร้อม ๆ กัน เป็นภาพที่แฮปปี้มาก ถ้าได้เผยแพร่ออกไปคงเป็น look book ที่เท่แน่ ๆ
เสร็จจากตรงนี้เราก็นั่งรถกลับไปที่โรงแรม ด้วยความคึกของไพรซ์ที่เป็นเหมือนหัวหน้าห้องของกรุ๊ป อยู่ดี ๆ เธอก็นำร้องเพลงแฮปปี้เบิร์ธเดย์กันในรถ เป็นโมเมนต์ที่ฮามาก ทุกคนมีความอยากจะทำอะไรก็ทำมันเลยเดี๋ยวนั้น แล้วพอถึงโรงแรม ทีมไทยก็เกิดหิวขึ้นมา ไพร่าเลยส่งลายแทงจากเว็บ Culture Trip มาในกรุ๊ป แล้วเกิดเห็นพ้องต้องกันว่าอยากกินอาหารอินเดีย เลยพากันไปกินร้านที่ชื่อ Paradise เดินเลยจากโรงแรมไปไม่ไกล แล้วตอนนี้ก็เป็นฉากที่เซอร์มาก ระหว่างทางที่เดินกันก็มีนกบินโฉบมาขี้ใส่กลางวง แล้วทุกคนก็กระโดดหลบโดยอัตโนมัติ รอดปลอดภัยกันหมด
จนมาถึงที่ร้าน เราก็เลือกนั่งข้างนอกกันเพราะเห็นว่าอากาศดีกว่าข้างในที่ค่อนข้างอบอ้าว มันเป็นร้านที่จะเลือกกินแบบบุฟเฟ่ต์หรือสั่ง a la carte ก็ได้ แต่เราคิดว่าแบบบุฟเฟ่ต์ก็ไม่ได้แพงมาก คนละ 35 ริงกิต เลยเลือกเดินตักกันเพลิน สักพักก็มีพนักงานเข้ามาพูดภาษาไทยกับพวกเรา แบบ ชัดมากกก แต่ทรงไม่ใช่คนไทยแน่ ๆ เลยลองถามก็พบว่าเป็นคนปากีสถานที่เกิดและโตในเมืองไทย อยู่แถวจรัญเองจ้าาาา ตอนนี้มีลูกเรียนอยู่ที่กรุงเทพ ฯ ด้วย แล้วพี่เขาน่ารักมาก ช่วยแนะนำเมนู แล้วขายเก่งสุด บอกว่าอันนั้นอันนี้อร่อย หลวมตัวตักไปหลายอย่างมาก มารู้ตัวว่าโดนป้ายยาตอนกลับมานั่งโต๊ะแล้วพี่เขาบอกว่า ‘กินให้หมดน้า’ แล้วยิ้มหวานหนึ่งที ไอ้เราก็กินกันสี่คนหน้าตั้ง สรุปว่าไม่หมดจ้า แต่อร่อยทุกอย่างเลยนะ โดยเฉพาะต้มถั่วลูกไก่กับชามาซาล่า แต่พี่เขาก็ยังใจดีไม่คิดค่าเสียหาย กราบใจจริง ๆ จากนั้นก็กลับมาโรงแรมเพื่อถ่าย street style ภาคค่ำกันอีกหน่อย
จากที่ทุกคนเสร็จภารกิจแล้ว เรา แตม อีฟ ฮี และเอพริล ก็ไปต่อกันที่บาร์ Jiro ที่ไพร่ากับแก๊ง Yeti Out ดีเจจากมาเลเซียที่จะร่วมเล่นใน launch party ในคืนต่อไปบอกว่าเป็นหนึ่งในเทคโนบาร์ที่ดีที่สุดในเอเชีย เราก็เลยต้องตามไปพิสูจน์หน่อยล่ะ แต่ปรากฏว่าพอไปถึง วันนี้ไม่มีดีเจ เพราะเป็นช่วงรอมฎอน แต่ก็ยังมีเพลงที่เปิดเป็น oldschool hiphop ดังนั้นเราเลยใช้โอกาสใน ladies’ night ที่สาว ๆ จะได้ดริงก์ฟรีไม่อั้นถึงตีหนึ่ง กดสุด กดเต็ม ก่อนจะย้ายกันไปที่ Six บาร์ข้าง ๆ ที่เปิดฮิปฮอปและเร็กเกต็อนกันอย่างสุดเหวี่ยง เป็นไนต์ไลฟ์ครั้งแรกใน KL ที่สนุกมาก ๆ เลยค่าาาา จนตอนหลังกลับมาโรงแรม ก็เจอชาวแก๊ง มี ฮี เฮียน Dianna ซึ่งเป็นทีม marketing ของ Converse Denilson เป็นบาริสต้าและนายแบบจากออสเตรเลีย และ Max ซึ่งเป็นสื่อเหมือนกันมาจาก Pousta ของชิลี นั่งกระดกเบียร์อยู่หน้าล็อบบี้ เราเลยเข้าไปแจมและได้พูดคุยกับพวกเขา แถมเดนิลสันที่เป็นบาริสต้าเราก็เลยได้เม้าท์แตกเกี่ยวกับการทำกาแฟ (ก่อนหน้านี้เคยทำเหมือนกัน) แล้วก็คุยเรื่องซีนดนตรีในชิลีเพราะมีวงชิลีที่ชอบมาก ๆ อยู่สองสามวง เรียกว่าคุยกันออกรสและเมามากก่อนจะแยกย้ายกันไปนอน พร้อมลุยกันวันต่อไป
ตามอ่านกิจกรรมวันที่ 2 ได้ เร็ว ๆ นี้