ตะลุยไนต์ไลฟ์ในปีนัง ปิดฉาก Converse_X_ กับ Showcase ในคืนสุดท้ายก่อนแยกย้าย (ตอนที่ 3)
- Writer: Montipa Virojpan
- Photographer: Converse Team and Montipa Virojpan
วันที่ 5 สำหรับแคมเปญ Converse_X_ ที่ทุกคนได้ลงมือสร้างสรรค์งานจริง พร้อมกับ showcase จัดแสดงงานและปาร์ตี้ทิ้งท้าย ณ Hin Bus Depot เมืองปีนัง เราก็แอบแว้บไปสำรวจ Georgetown เพิ่มเติมอีกสักนิดก่อนที่ทุกคนจะต้องแยกย้ายกลับบ้าน
ต่อจากตอนที่แล้ว Part I, Part II
แตมพิมพ์มาในกรุ๊ปว่าคนอื่น ๆ กำลังจะไปที่บาร์เสียงดัง ๆ แสงนีออนจัด ๆ ข้างโรงแรม แต่พอเราเดินไปจนถึงระยะที่พอจะได้ยินเสียงก็เริ่มคิดว่าจะไปดีไม่ไปดี ทีนี้ระหว่างที่ลังเลก็เจอเฮียน (อีกแล้วววว) เดินมาก็บอกว่าจะไปบาร์อันนั้นเหมือนกัน เอาวะ ลองดู พอไปถึงก็ไม่เจอใคร แถมเพลงมีความโลคัลมาก คือเหมือนเป็นเพลงอินเดียหรือภาษามลายูไม่รู้ มีความภารตะผสมดีเจรถบั๊มพ์ แล้วย่านเบสดังมาก แสงแสบตามาก ดีเจบทจะเปลี่ยนเพลงก็เปลี่ยนแบบไม่สนใจความสมูธหรือความซิงค์ของบีตใด ๆ ผมกับเฮียนนี่ถึงกับรีบเดินหนีกลับโรงแรมเลยครับ แล้วมาพบว่าพวกทีม Converse นั่งกันอยู่ที่บาร์ตรงล็อบบี้โรงแรม ตอนแรกพวกเขาก็จะไปบาร์นั้นเหมือนกัน แต่เห็นว่าปิดเลยเดินกลับมา เราบอกว่าไม่ปิด แต่ต้องเดินอ้อมไปทางฝั่งถนนใหญ่ ขณะที่เฮียนตัดสินใจนั่งกินเบียร์กับคนอื่น ๆ ที่นี่ แตมกับอีฟก็เดินลงมาในชุดคลุมอาบน้ำ ตรงไปสั่งเบียร์หกเหยือกที่เคาน์เตอร์ พวกนางจะเปิดตี้ที่อ่างอาบน้ำในระเบียงห้องจ้าาา จัดแจงพิมพ์ชวน Converse_X_ คนอื่น ๆ ในกรุ๊ป เรียบร้อย บอกว่า bring your own booze แล้วมาจอยกัน เพราะทางโรงแรมเขาให้เรากดเหล้ามาดื่มกันได้ฟรี ๆ ไปจนถึงตีหนึ่งเล้ย
ส่วนเราเนี่ย ยังไงก็ยังอยากออกไปท่องราตรีในปีนังอยู่ดี พวกทีม Converse ก็ห่วงว่านี่น้องนีอย่างฉันจะไปคนเดียวจริง ๆ เหรอ ก็ทำไงได้ล่ะ ชวนเพื่อนแล้วก็ไม่มีใครไปเลยฉายเดี่ยวซะเลย! แล้วก็ถามดีเจ Smiley ว่าบาร์ไหนในจอร์จทาวน์ที่ค็อกเทลอร่อยบ้าง ก็ได้ลายแทงมาเป็น ChinaHouse กับ Mish Mash แต่ตอนนี้เป็นเวลาห้าทุ่ม ได้ยินว่าแถวนี้ร้านปิดเที่ยงคืน เลยต้องรีบจัดแจงเรียกแกร๊บราคา 18 ริงกิตจากโรงแรมเข้าเมืองไปให้รู้แล้วรู้รอด ถ้าสองร้านนี้ปิดก็ค่อยว่ากันเพราะ Smiley บอกอีกว่ามันมีถนนชื่อ Love Lane ที่มีบาร์เยอะมาก ค่อยไปเดินเลือกเอาก็ได้
เราใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงก็มาถึงย่านจอร์จทาวน์ แม้จะเป็นเวลาดึกดื่นแต่ถนนยังสว่างสไวไปด้วยแสงไฟจากบาร์และผู้คนคลาคล่ำ เราเข้าไปใน ChinaHouse และต้องพบกับความตื่นตามาก ๆ ที่มันเป็นร้านขนาดสองคูหา แต่ด้านในยาวเข้าไปสุดลูกหูลูกตา แต่ละห้องแบ่งเป็นคาเฟ่ออสเตรเลียนสไตล์ชื่อ Kopi C และร้านอาหาร BTB ห้องสมุด (ที่เอาอาหารและเครื่องดื่มมากินไปด้วยอ่านไปด้วยได้) มี co-working space ชื่อ 14 Chairs และบาร์ที่ชื่อ Vine & Single มีแกเลอรี่ กับสวนหลังร้านที่มีสระน้ำร่มรื่น และ The Canteen เป็นบาร์ ร้านอาหาร มีดนตรีสดทุกคืน แต่ในวันนี้เราขอจอดที่ Vine & Single ก็แล้วกัน
บาร์ตกแต่งสไตล์น่ารักมาก ๆ มีพวกภาพวาดแขวนเต็มผนัง โต๊ะขนาดใหญตั้งอยู่กลางห้อง และมีบาร์ที่หันหน้าเข้าหากระจกบานใหญ่ มีโต๊ะตรงมุมห้อง และดีเจที่เล่นเพลงจากไวนิล เรียกว่ากลับสู่ชีวิตสงบสุขหลังจากสุดเหวี่ยงกับปาร์ตี้ที่ต้องเต้นกับเพลงอิเล็กทรอนิกฮิปฮอปรัว ๆ จนหูปวด ที่นี่เขาเล่น The White Stripes, Kasabian, The XX, Radiohead, Kaiser Chiefs, Alex Turner เหมือนกลับสู่สามัญเลยค่ะ ฮือ ส่วนค็อกเทลที่นี่ก็ไร้ที่ดิ มีทั้งคลาสสิกค็อกเทลและซิกเนเจอร์ของทางร้าน ซึ่งเราก็เพลย์เซฟด้วยการจัดเนโกรนีมาลอง ปรากฏว่าอร่อยมาก!!! แล้วบาร์เทนเดอร์ก็เฟรนด์ลี่ เห็นนี่มาคนเดียว แต่พอเราจะอยู่ในโลกของเราเขาก็ไม่กวนละ ลองถามเขาว่าปิดกี่โมงก็พบว่าปิดตีสอง เหมือนที่นี่เขาแค่ใส่เวลาในเว็บว่าปิดเที่ยงคืนแค่ให้มันไม่ผิดกฎหมายแค่นั้นแหละ เราก็เลยถือโอกาสนั่งยาวไป อ้อ ด้วยความที่ชื่อร้านเขาเป็น Vine & Single แน่นอนว่าต้องเสิร์ฟ single malt whisky กับไวน์เป็นหลัก แล้วไวน์ที่ก็มีที่เป็นแบบ organic, natural, biodynamic ให้เราเลือกละลานตามาก ๆ สรุปกดแกร๊บพร้อมกด Basket Range เป็น merlot ผสม carbernet sauvignon กลับบ้านหนึ่งขวดถ้วน พอถึงโรงแรมก็กลับไปที่ห้องแตมเพื่อจอยปาร์ตี้อ่างอาบน้ำกับอีฟและเอพริลสักพักก่อนแยกย้ายกันไปนอน
25 พฤษภาคม 2562
ในที่สุดวันเวิร์กช็อปก็มาถึง เมื่อทานอาหารเช้ากันเสร็จ พวกเราก็เตรียมตัวกันขึ้นรถบัสเพื่อไป Hin Bus Depot ซึ่งเป็นเหมือน creative space ในจอร์จทาวน์ ที่มีร้านอาหาร คาเฟ่ แกเลอรี่ ร้านไอศกรีม เครื่องดื่มออแกนิก และ event space ให้ทุกคนได้ใช้พื้นที่ทำ final project กัน เราก็ตามดูแต่ละกลุ่มทำผลงานของตัวเองที่ตีความจากโจทย์ที่ได้ ระหว่างนั้นก็มีดีเจ Smiley รับหน้าที่เปิดเพลงชิล ๆ ให้ฟังระหว่างทำงาน
เมื่อทุกคนทำเสร็จแล้วก็พอจะเหลือเวลาว่างก่อนจะถึงปาร์ตี้และงานเปิดตัว Converse_X_ showcase ที่จะจัดแสดงผลงานของทุกคนในค่ำคืนนี้ที่สถานที่เดียวกัน เรา แม็กซ์ วินดี้ เลยไปเดินสำรวจในเมืองปีนัง ปล่อยให้ชาว Converse_X_ คนอื่น ๆ ไปถ่าย street fashion กัน
เราเรียกแกร๊บจาก Hin Bus Depot มาลงยัง Chew Jetty ซึ่งเป็นหมู่บ้านชาวประมงของปีนัง เชื่อหรือไม่ว่าสภาพร้านค้าและบ้านมีความคล้ายคลึงกับตลาดน้ำบ้านเรามาก ๆ คือใช้พื้นไม้ปู สร้างบ้านด้วยไม้ ทำอาชีพจับปลาหาเลี้ยงชีพ แล้วก็คลาคล่ำไปด้วยผลิตภัณฑ์แปรรูปจากทุเรียน คือมันไทยมากกกกก ถึงกับพูดกับเพื่อน ๆ ว่า เหมือนดอนหวาย อัมพวา บ้านไอเลย แง่
แต่ไม่ปฏิเสธว่าบริเวณท่าน้ำบรรยากาศดีมาก ๆ
จากนั้นเราก็กะจะเดินต่อไปยัง Little India แต่ก็มาผ่าน ChinaHouse ซะก่อน เลยบอกเพื่อน ๆ ว่าเนี่ยร้านที่มาเมื่อคืน แล้วทุกคนก็ตรงดิ่งเข้าไปทันที พบว่าฝั่งที่เราเข้ามาในวันนี้คือคนละฝั่งกับเมื่อคืน เป็นส่วน The Canteen และมีสวนหลังร้านกับสระน้ำ ซึ่งบรรยากาศตอนกลางวันของที่ outdoor ตรงนี้ร่มรื่นอย่างไม่น่าเชื่อเมื่อเทียบกับแดดจ้าและความร้อนอบอ้าวจากที่เราเดินผ่านมาตลอดทาง เราจัดแจงสั่งเครื่องดื่มกันตั้งแต่ตอนสี่โมงครึ่ง (เห็นจะมีก็แต่ประเทศไทยเราเนี่ยแหละที่จำกัดเวลาจำหน่ายแอลกอฮอล์) โมฮิโต้ดิฉันดีงามมาก ส่วนคนอื่น ๆ สั่งเบียร์ไทเกอร์เพราะมีโปร happy hour ถูกม้ากกก นี่รู้ช้าไม่งั้นก็สั่งด้วย แล้วก็นั่งเม้าท์มอยประสามีเดียกันไปพักนึง
จากนั้นก็ออกเดินต่อไปยัง Little India ก็พบว่าบ้านเมืองเขาสะอาดมาก เป็นย่านน่ารัก ๆ คล้าย ๆ Arab Street ในสิงคโปร์
เดินต่อไปอีกนิดก็จะเจอกับโซนศาลากลางเมือง เป็นอาคารยุโรปอยู่ใกล้ ๆ สวนสาธารณะริมทะเล
หลังจากเดินมาได้พักนึง อยู่ดี ๆ เกิดนึกอะไรขึ้นมาไม่รู้ อยากนวด แต่ลืมไปว่าที่นี่ไม่ใช่บ้านเรา จะมีร้านนวดแผนโบราณได้อย่างไร ปรากฏว่าแม็กซ์บอกว่าเคยเซิร์ชหาร้านนวดอยู่เหมือนกัน (เอ้า งง คนชิลีก็ติดนวดเหมือนกันหรอ) แล้วเราก็เจอร้านนวดชื่อ Legacy Massage เท่านั้นแหละ มุ่งหน้าตรงไปยังร้านนวดทันที และพอถึงก็เด๋อถามเขาว่ามีหมอนวดไทยไหมคะ เขาบอกว่าไม่มี แต่เป็นการนวดสไตล์เกาะบอร์เนียว เราก็ไม่คิดไรมาก ไหน ๆ ลองอะไรที่มันโลคัลแล้วก็ไปให้สุด ด้วยการเลือกนวดเท้าคนละ 30 นาที ราคา 40 ริงกิต นั่งให้เขานวดไปสักพักพบว่ามันคล้ายนวดแผนไทยเลย แค่ของเขาเป็นการกดจุดที่เมามันมาก ๆ ถึงขนาดต้องขอนวดตัวต่ออีก 30 นาที โฮ่ ฟินนนนนน เสร็จแล้วก็เริ่มหิวก็ได้เวลาไปหาของกิน ใจนี่อยากกินลักซามาก ๆ มันฟีลเหมือนขนมจีนน้ำยากะทิ ใส่อาหารทะเลลวกไม่ค่อยสุก ปรากฏเดินหาอยู่พักใหญ่ไม่เจอเลยจบที่ร้านอาหารจีนใกล้ ๆ ปรากฏว่าสั่งมาไม่ดูตาม้าตาเรือเพราะความหิว ชามใหญ่มาก ของฉันเป็นหม่าโปเต้าฝุ ของแม็กซ์เป็นเต้าหู้ผักเพราะนางเป็นมังสะวิรัติ ส่วนวินดี้ก็ได้ราดหน้าหมี่กรอบขาเป็ดมา ใหญ่มากแม่ และจานกลางก็เป็นฮะเก๋าที่อร่อยสุด น้ำตาจะไหล ไม่มีเวลาชื่นชมมาก ต้องมูฟกันไปที่จัดงานกันแล้ว
เวลาประมาณสองทุ่มนิด ๆ เราเห็น Converse_X_ และทีมงานมายืนกรูกันด้านหน้า Hin Bus Depot พร้อมกับประตูเหล็กที่ค่อย ๆ ถูกเปิดออกให้ทุกคนได้เข้าไปร่วมชมนิทรรศการจัดแสดงผลงานของพวกเขา เฟอร์ย่าเอากระป๋องสเปรย์มาพ่นคำว่า Penang ลงไปบนโลโก้งานและทุกคนก็เข้าไปชื่นชมงานคอลลาจที่ถูกจัดแสดง
หลายคนยืนดูงานของตัวเองและเพื่อน ๆ แล้วโผเข้ากอดกัน บางคนก็น้ำตาไหลออกมาเหมือนกับความรู้สึกตลอดเวลาห้าวันที่อยู่ด้วยกันมันมีค่ามาก ๆ สำหรับพวกเขา และวันนี้ก็เป็นคืนสุดท้ายที่ทุกคนจะได้ใช้ชีวิตด้วยกันก่อนที่ต่างฝ่ายจะต้องแยกย้ายกันกลับประเทศของตัวเอง
จากนั้นก็ได้เวลาของปาร์ตี้ที่มีการแสดงจากวง experimental noise punk ของปีนัง (ขออภัยจำชื่อไม่ได้ แต่เพลงคือบีตดีมาก เสียดายเสียงนักร้องแสบแก้วหูไปหน่อย อะแง)
แล้วดีเจ Smiley ก็มาสร้างความสนุกในค่ำคืนนี้อีกเช่นเคย แต่เซ็ตเพลงที่เปิดวันนี้คือ turn up มาก ๆ ทุกคนมุ่งตรงไปยังโต๊ะเบียร์ free flow กดกันแบบไม่ยั้ง มีช็อตเยเกอร์ไมสเตอร์ เตกิลา ไวน์ และสารพัดสิ่งที่พวกเขาจะหามาทำให้เมาได้ จับกระดกกันช็อตแล้วช็อตเล่า รู้สึกกลัวตัวเองมาก ไม่อยากคิดเลยค่ะว่าคืนนี้จะรอดไม่รอด แต่สักพักนึงเราก็เริ่มเต้นเหนื่อย (อีกแล้ว) ไหน ๆ ตอนนี้เราก็อยู่ในจอร์จทาวน์แล้ว ก็ไปตามเก็บบาร์อีกที่ที่เขาแนะนำมากันเลยดีกว่าค่ะ
เรามาถึง Mish Mash โดยใช้เวลาเพียงสิบนาที ลักษณะเป็นบาร์เล็ก ๆ แต่งสไตล์เปอรานากัน กลิ่นบุหรี่ลอยมาเตะจมูกทันทีที่ก้าวเข้าไป แล้วเราก็จับจองที่นั่งหน้าบาร์พร้อมกับสั่งสิ่งที่เรียกว่า Cross Country เป็น signature cocktail ของที่นี่ พอดูเมนูอาหาร เราก็ถลึงตาทันทีเพราะที่นี่มีอาหารจานหมู!!! โอ้โฮ ไม่รอช้าค่ะ สั่งมาเลย เมนู PNG เป็นคอหมูทอด จิ้มกับซอสที่มีส่วนผสมเป็นเบียร์ Guinness สูตรพิเศษ กินกับแตงกวาสด อร่อยมาก ๆ แต่กินคนเดียวไม่หมดเลยห่อกลับบ้าน แต่คิดว่าตอนนี้ที่ปาร์ตี้คงยังไม่เลิก เราเลยหิ้วกล่องหมูทอดขึ้นแกร๊บกลับไปที่งาน
ซึ่งก็เป็นอย่างงั้นจริง ๆ เมื่อเราเห็นชาว Converse_X_ เต้นกันราวกับจะไม่มีพรุ่งนี้อีกแล้ว สายรายงานมาว่าไพร่าต้องเคลียโต๊ะให้แตมขึ้นไปเต้น เพราะก่อนหน้านี้น้องลงไปทเวิร์คที่พื้นหญ้าจนเข่ากางเกงยีนกลายเป็นสีเหลือง เยี่ยมมากค่ะ ทีมไทยแลนด์ต้องไม่แพ้ชาติใดในโลก ตอนนั้นก็เริ่มมีการจับเหล้ากรอกปากเกิดขึ้นอีกครั้งโดยเฮียน นี่ก็โดนเตกิล่าไปอีกรอบ เต้น ๆ อยู่สักพักก็กลับไปนั่งที่โต๊ะกับ Charmaine สไตลิสต์ที่ทำงานกับ Kittie Yiyi และแฟชันไคคอนแห่งกัวลาลัมเปอร์ และ Dani vlogger/ วีเจช่อง MYX ของฟิลิปปินส์ นั่งวิจารณ์วงดนตรีที่เพิ่งเล่นจบไปกันอย่างสนุกสนาน
จนประมาณตีสองที่ทุกคนดูจะหมดแรงละพร้อมที่จะกลับไปยังที่พักกันแล้ว ระหว่างที่ขึ้นรถกัน ไพรซ์ก็นำร้องเพลงอีกครั้งโดยคราวนี้ร้องว่า ‘Last night in Malaysia’ แล้วก็ส่งเสียงเชียร์ให้ทีมงานหลาย ๆ คนและเรียกให้ Converse_X_ แต่ละคนออกมาเต้นกันแบบไม่กลัวเมารถ และตอนนั้นเองที่เราได้ค้นพบว่าคนที่กิ๊กกันในกลุ่มที่ไพรซ์กับซานโดนเม้าท์กันคือ Eryk ช่างภาพอิสระจากโปแลนด์ และ Embher นักร้องนักแต่งเพลงจากนิวซีแลนด์เพราะแม็กซ์ดันตะโกนแซวที่พวกเขานั่งด้วยกันว่า ‘Get a room!’
ในที่สุดเราก็ถึงที่พัก เราบางส่วนมุ่งตรงไปยังแมคโดนัลด์ ส่วนเราก็ไปเอาไวน์ที่เหลือมาแบ่งกินกับพวกที่รออยู่ที่สระ มี Ayesha สาวซ่าจากนิวซีแลนด์ ชาฮีร่า เฟอร์ย่า ซานโดร เอพริล และฮี ส่วน บาสบอย เฮียน เมสัน ว่ายน้ำลอยคออยู่สบายใจเฉิบ เรากับอีฟก็เลยลงไปแบ่งไวน์ให้พวกนั้นกินด้วย ก่อนจะโดนยามไล่ออกจากสระ เพราะสระปิดแล้วจ้าเพลานี้ ก็เลยขึ้นมานั่งเศร้าซึมคุยกันว่า เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ไม่เจอกันแล้วนะ ถึงขั้นมีแพลนว่าต่างคนต่างจะบินไปหากันในประเทศต่าง ๆ ส่วนบาสบอยนี่ก็เอาไวน์ผมไปกินจนเรากลายเป็น wine buddies กันเฉย ฮ่า พักนึงก็คิดว่าถึงเวลาอันสมควรแล้ว ก็บอกลาเพื่อน ๆ ที่สระแล้วกลับไปนอน เตรียมตัวออกเดินทางในวันรุ่งขึ้น
26 พฤษภาคม 2562
*เสียงโทรศัพท์สั่น*
เราสะดุ้งตื่นอย่างรวดเร็วเมื่อได้ยินเสียงแกรก ๆ แล้วเห็นว่าสายที่โทรเข้ามาคือไพร่า ‘อิ๊ก เขากินข้าวกันเสร็จหมดแล้ว รถจะออกแล้ว’ ชิบหายยยยยย วางสายจากไพร่าแล้วเราก็ดูนาฬิกา 9.30 จริง ๆ ด้วย ว้ากกกก นี่ลืมตั้งนาฬิกาปลุกหรอ เกือบแล้ววว ดีนะที่ไม่ได้เอาของออกมาจากกระเป๋าเยอะขนาดนั้นเลยพอจะยัด ๆๆๆ ทุกอย่างกลับเข้าไปได้ ส่วนรองเท้าสามคู่นี่ก็ยัดแยกไปในกระเป๋าอีกใบนึงละกัน สำรวจข้าวของทั้งหมดว่าไม่มีอะไรตกค้างแล้วก็รีบวิ่งไปคืนคีย์การ์ดที่ล็อบบี้พร้อมกับขึ้นรถตู้ไปยังสนามบินได้ทันเวลา แฮ่ก
ระหว่างที่เช็กอินที่สนามบิน แดนี่กับซานโดรนั่งรถมากับทีมไทยของเราด้วย รวมถึงทีมอินโดนีเซียที่มี Atta ช่างภาพ บาสบอย และ วินดี้ ที่ตามมาสมทบ ตอนนั้นเราเห็นซานโดรกำลังร้องไห้และมีแดนี่คอยปลอบ เรากับไพร่าก็เลยต้องเขาไปโอ๋ซิสด้วยคน ทุกคนใน Converse_X_ สนิทกันมากจริง ๆ และคงไม่อยากให้วันนี้มาถึง แต่สุดท้ายแล้วงานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา แต่อีกไม่นานก็คงถึงวันที่เสียงเพลงจะดังขึ้น และแสงไฟจะสว่างสไวอีกครั้ง แค่ตอนนี้เราก็ทำได้แค่ส่งเซลฟี่หน้าตัวเองแล้วคุยกันใน instagram story สถานที่แรกที่ทำให้ทุกคนได้มาเจอกันใน Converse_X_ ครั้งนี้แทนแหละนะ
ขอบคุณทีม Dudesweet, Converse_Thai, Converse_X_, PYRA, อีฟ และ แตม ที่ให้ Fungjaizine ได้มาร่วมติดตามชีวิตของกลุ่มคนสร้างสรรค์ตลอดระยะเวลา 5 วันเต็ม ใน 3 เมืองที่เต็มไปด้วยความแตกต่างทางวัฒนธรรม สถาปัตยกรรม ผู้คน ภูมิทัศน์ และเราเองก็ได้ร่วมงานกับมืออาชีพในแต่ละสาขาอาชีพ ได้เพื่อนใหม่จากหลายหลายประเทศ คือถ้าไม่มีโครงการนี้โอกาสแบบนี้คงเกิดขึ้นได้ยากมาก ๆ และนี่ยังไม่ใช่โครงการสุดท้ายของ Converse Global มารอดูกันว่าพวกเขาจะสร้างแรงขับเคลื่อนอะไรให้กับโลกอีกบ้าง เร็ว ๆ นี้
Follow at:
PYRA: @onlypyra
Eve: @_l_u_r_e_a_r_
Tam: @tamm.c
@Converse_X_
#Converse_X_