Article Contributor of the Month
David Bowie and I (Part 3)
- Writer: Wee Viraporn
- Photographer: Wee Viraporn
ผมเดินทางมาศึกษาต่อที่ประเทศอังกฤษในช่วงปลายปี 2003 ใกล้เคียงกับวันวางจำหน่ายของอัลบั้ม Reality พอดี เป็นความโชคดีที่ทำให้ความหวังในการดูคอนเสิร์ตของ Bowie ซักครั้งน่าจะเป็นจริงได้ไม่ยาก เอาจริง ๆ คือนั่งเล็งตารางทัวร์มากกว่าตารางเรียน 😛
กิจกรรมหนึ่งที่ผมชอบทำในเวลาว่างช่วงที่ไปถึงลอนดอนใหม่ ๆ คือการตระเวณไปตามสถานที่ที่เคยเห็นในปกอัลบั้ม หรือมิวสิควิดิโอ ไม่ว่าจะเป็นโรงไฟฟ้า Battersea ที่เคยอยู่บนปก Animals ของ Pink Floyd สถานีรถไฟใต้ดิน Holborn ใน mv เพลง Saturday Night ของ Suede และที่ขาดไม่ได้คือ Heddon Street ซึ่งจากที่ดูเป็นตรอกมืดลึกลับบนปก Ziggy Stardust ตอนนี้กลายเป็นซอยที่มีร้านอาหารน่านั่งอยู่กลางเมืองเลย นอกจากนั้นผมยังพยายามเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในกับกิจกรรมทุกอย่างที่เกี่ยวกับ Bowie เช่น ไปร่วมงาน Halloween Bowie Night ที่ผับแห่งหนึ่ง โดยวงดนตรีที่มาเล่นในคืนนั้นล้วนแต่คัฟเวอร์เพลงของ Bowie ส่วนผู้คนที่อยู่ในงานก็แต่งตัวเป็น Bowie กันให้พรึ่บ ไม่ว่าจะทาสายฟ้าบนหน้า (อย่างน้อย 3 คน) ใส่รองเท้าส้นตึกสีแดงแปร๊ด ชุดประดับขนนก และยังได้ชมนิทรรศการภาพถ่าย Bowie จากยุค 70s – 80s ที่ทำให้ได้เห็นรูปหายากหลายภาพ (ที่ตอนนี้หาดูได้ไม่ยากอีกต่อไป) ที่ติดตาที่สุดคือภาพชุด Bowie ลุยน้ำท่วมกรุงเทพครั้งใหญ่ ปีพ.ศ. 2526 (1983) ก่อนที่ผมจะได้รู้จักเขา ความทรงจำของผมเกี่ยวกับน้ำท่วมครั้งนั้นมีแค่ถนนหน้าบ้านกลายเป็นคลองจนลอยกระทงได้เท่านั้นเอง
26 พฤศจิกายน 2003 ผมขึ้นรถไฟไปถึงสถานี Wembley ก่อนเวลาคอนเสิร์ตเริ่มหลายชั่วโมง ทั้งที่ตั๋วเป็นแบบฟิกซ์ที่นั่ง เพราะอยากไปเก็บบรรยากาศ ตอนนั้น Wembley Stadium แห่งใหม่ยังคงอยู่ระหว่างการก่อสร้าง แต่ก็พอจะเห็นร่องรอยของความยิ่งใหญ่ในอดีตจากภาพโมเสกประดับทางเดินจากสถานีที่เป็นกราฟิกของการแข่งกีฬาหลากชนิด และยังมีภาพของวง Queen ด้วย แสดงว่าคอนเสิร์ตของ Queen ที่ Wembley Stadium เป็นหนึ่งในเหตุการณ์สำคัญที่สุดของสนามกีฬาแห่งนี้ ระหว่างการรอคิว ผมได้เห็นกลุ่มแฟนเพลงหลากหลายอายุ มีคนแต่งตัวเป็น Bowie ยุคต่าง ๆ บ้างประปราย ผมซื้อของที่ระลึกแทบทุกอย่างที่มีขาย ก่อนจะได้มานั่งติดกับหนุ่มออฟฟิศอายุน่าจะ 30 กลาง ๆ ที่ดูเรียบร้อยคนหนึ่ง แต่เมื่อการแสดงเริ่มขึ้น เขาก็ถอดแจ็กเก็ตออก เผยให้เห็นว่าข้างใต้นั้นเป็นเสื้อยืดจาก Sound + Vision Tour 1990! ผมสะกิดเขาเพื่อยกนิ้วให้เสื้อทัวร์ในตำนาน และบอกตัวเองว่า จะเก็บเสื้อยืด A Reality Tour นี้ไว้ใส่ในอีกทุกโชว์ที่มีโอกาสได้ดู
ผมพูดเสมอว่าความเจ๋งอย่างหนึ่งของ Bowie คือความที่มีเพลงใน back catalog เยอะ ทำให้เขาสามารถหยิบเอาเพลงเก่า ๆ มาเล่นสดโดยอาเรนจ์ใหม่ให้ได้ซาวด์ที่ร่วมสมัยขึ้น และเสียงที่นุ่มลึกขึ้นกับความนิ่งที่มาตามอายุก็ยิ่งเพิ่มสเน่ห์ให้มากขึ้นไปอีก set list ของ A Reality Tour จึงมีเพลงตั้งแต่ยุค 70s, 80s, 90s จนถึงอัลบัมล่าสุดอยู่ด้วยกันอย่างกลมกลืนจนไม่น่าเชื่อ ตลอดโชว์ 27 เพลงมีหลายโมเมนต์ที่ตราตรึงใจ แต่ที่สุดของคืนนั้นสำหรับผมคือความงดงามของ Life On Mars และการปิดช่วง encore ด้วยเพลงเก่าจาก Ziggy Stardust พร้อมกับคำสัญญาว่าจะกลับมาเจอกันอีกปีหน้า เพราะนั่นเป็นคืนสุดท้ายของการทัวร์ในอังกฤษ ก่อนจะเบรคแล้วออกทัวร์ต่อไปยังอีกหลายประเทศ ส่วนผมจะได้ไปดู Radiohead ในวันรุ่งขึ้น (ใช่ครับ ตอนนั้นดูคอนเสิร์ตกระหน่ำจริง ๆ) และโชว์นั้นก็เป็นที่ถูกจารึกไว้ว่ามีการเล่นเพลง Creep ครั้งแรกในรอบ 7 ปี แถมในเดือนถัดมาก็ได้ดูโชว์รองสุดท้ายก่อนแยกวงของ Suede (จริง ๆ กะซื้อตั๋วรอบสุดท้าย แต่ทางวงดันเพิ่มอีกรอบ และกลับมารวมตัวกันอีกในหลายปีต่อมา) แต่ก็ไม่มีโชว์ไหนจะเป็นที่สุดในความทรงจำมากไปกว่าโชว์นั้นของ Bowie จนกระทั่งวันที่เขากลับมาเล่นที่อังกฤษอีกครั้งตามสัญญา นั่นคือที่ Isle of Wight Festival 2004 ซึ่งเป็นประสบการณ์เทศกาลดนตรีกลางแจ้งครั้งแรกในชีวิตของผม
13 มิถุนายน 2004 ผมเดินทางออกจากหอพักนักศึกษาในลอนดอนแต่เช้าตรู่ ขึ้นรถทัวร์และต่อด้วยเรือข้ามฟากไปที่เกาะ Isle of Wight การใส่เสื้อยืดจาก A Reality Tour ทำให้เกิดบทสนทนาระหว่างแฟนเพลงขึ้นตลอดการเดินทาง แต่ละคนแชร์กันว่าเริ่มฟัง Bowie มาตั้งแต่เมื่อไหร่ บางกลุ่มมาเป็นครอบครัวพ่อแม่ลูก คุณป้ากับหลาน บางคนเป็นชาวต่างชาติที่เดินทางตามดูมาหลายโชว์ แม้แต่คุณยายที่ยืนอยู่ข้างหลังผมที่ป้ายรถเมล์ยังอ่านรายการทัวร์ด้านหลังเสื้อแล้วเปรยว่ายังออกทัวร์ไปทั่วโลกได้อีกนะ วันนั้นบรรยากาศนอกจากจะคึกคักเพราะเทศกาลดนตรีแล้วยังเป็นวันที่มีแมทช์สำคัญของฟุตบอลยูโร 2004 คือทีมชาติอังกฤษพบฝรั่งเศส รอบตัวจึงเต็มไปด้วยกองเชียร์ในเสื้อทีมบอลอังกฤษ มากกว่าเสื้อทัวร์ของวงไหนๆ กว่าผมจะเข้าไปนั่งพักที่ hostel ที่อยู่คนละฟากของเกาะ แล้วขึ้นรถเมล์กลับเข้าถึงบริเวณเวทีก็เป็นช่วงบ่ายแล้ว ผมค่อยๆ แหวกฝูงชนเข้าใกล้เวทีไปเรื่อยๆ ระหว่างโชว์ของ Snow Patrol จนแมตช์อังกฤษพบฝรั่งเศสได้เริ่มขึ้นในช่วงโชว์ของ The Charlatans
การรายงานผลบอลในช่วงนั้นยังคงเป็น SMS หรือบางคนก็ฟังวิทยุพกพา ความคึกคักของแฟนเพลงและแฟนบอลขึ้นถึงขีดสุดเมื่อทีมชาติอังกฤษทำประตูนำไปก่อน 1-0 และใครซักคนส่งซิกมาจากหลังเวที ทำให้ทั้งศิลปินและคนดูได้เฮพร้อมกันดังสนั่น! Charlatans บอกผู้ชมว่า “เรารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ขึ้นเวทีเดียวกับอัจฉริยะอย่าง David Bowie” และขอให้แฟนเพลงดูบอลให้สนุกก่อนลงจากเวที จอภาพของเวทีก็ฉายฟุตบอลให้เราได้ดูต่อระหว่างการเซ็ตอัพ แต่แล้วสถานการณ์ก็เริ่มตึงเครียดเมื่อฝรั่งเศสเริ่มเล่นดีขึ้นเรื่อย ๆ แถมเดวิด เบคแฮม ก็ยิงจุดโทษพลาดอีก ก่อนที่นักเตะระดับตำนานของฝรั่งเศส ซิเนดีน ซีดาน มาทำประตูตีเสมอในนาทีที่ 90 และยิงอีกลูกในสามนาทีถัดมาระหว่างช่วงทดเวลาบาดเจ็บ ทำให้ทีมชาติฝรั่งเศสพลิกล็อคชนะไป 2-1!
ณ วินาทีที่กรรมการเป่านกหวีดหมดเวลา ความปราชัยของทีมอังกฤษทำลายความคึกคักของทุกคนที่มารวมตัวกันอยู่ตรงนั้นไปหมดสิ้น การยืนอยู่ท่ามกลางคนนับหมื่นที่กำลังจิตตกกระทันหันทำให้ผมรู้สึกหนาววูบขึ้นมาทันที เป็นความอึดอัดที่เกินจะบรรยาย เวลาแต่ละวินาทีผ่านไปช้ามาก… จนเราได้ยินเสียง Bowie ทักทายผู้ชมออกไมค์ และบอกว่า “I’m not the only famous person with the initials DB in England, you know… But, I’m the only one who’ll wake up with his balls intact tomorrow.” (ขออนุญาตไม่แปลนะครับ) เท่านั้นแหละ… ผู้ชายคนนี้ได้เปลี่ยนความหดหู่ของผู้ชมนับหมื่นเป็นความสุขได้ด้วยการยิงมุขเพียงครั้งเดียว! Bowie และวงของเขาพาเราสนุกสนานไปกับเสียงเพลงจนลืมทุกอย่าง ผมมองเห็นครอบครัวที่คุณแม่ขี่คอคุณพ่อแล้วลูกสองคนตัวเล็ก ๆ ที่ใส่เสื้อ Bowie คอยระวังขาให้ ได้ยินแฟนเพลงสาวตะโกนสุดเสียงว่า “Oh… he’s so sexy!” ธงชาติจากการเชียร์บอล ถูกแทรกด้วยธงที่ทำจากเสื้อยืด Bowie โบกสะบัดอยู่ตรงหน้า ผมร้องตามทุกเพลงอย่างสุดเสียง และปล่อยอารมณ์ไปกับเพลงโดยลืมความเหนื่อยล้าทั้งปวง
แม้ว่า set list ของโชว์นี้จะเป็นการตัดทอนมาจาก A Reality Tour แต่บรรยากาศของการเป็นโชว์กลางแจ้ง ทำให้มันเจ๋งกว่ากันมากในความรู้สึกของผม ในจังหวะหนึ่งของเพลง Heroes เมื่อแสงไฟสีขาวสว่างจ้าสาดตาจนเห็น Bowie เพียงแค่เงา น้ำตาก็ไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว ผมรู้สึกดีที่ได้อยู่ตรงนั้น ณ วินาทีนั้น ได้รับรู้ความยิ่งใหญ่ของมนุษย์คนนี้ ทุกวันนี้ดูคลิปจากโชว์นี้บน YouTube ทีไรก็ยังนึกถึงช่วงเวลาเหล่านั้นได้อย่างชัดเจน
จบจากโชว์นั้นผมรู้สึกมีความสุขที่สุดในชีวิต รูปที่ผมถ่ายมาในฟิล์ม 2 ม้วนที่ชัดบ้าง ไม่ชัดบ้าง ล้วนเป็นภาพที่ผมอยากจะเก็บไว้ตลอดไป ผมรู้สึกว่า Bowie กลับมา top form และมีพลังล้นเหลือ ไม่เหมือนคนอายุเกือบ 60 ผมเชื่อว่าเขาจะยังอยู่สร้างผลงานให้เราติดตามไปได้อีกนาน โดยไม่รู้เลยว่าจากนั้นอีกไม่ถึงสองสัปดาห์ Bowie จะมีอาการหัวใจวายขณะแสดงคอนเสิร์ต จนต้องเข้ารับการผ่าตัด ยกเลิกการทัวร์ที่เหลือ และหายหน้าไปจากแสงไฟเป็นเวลาเกือบสิบปี