Article Between the Lines

สีสันของสายลมเป็นยังไง? ชวนฟัง Colors of the Wind ในมุมใหม่ ที่ไม่ใช่แค่เพลงประกอบการ์ตูน

You think I’m an ignorant savage
And you’ve been so many places, I guess it must be so 

But still I cannot see, If the savage one is me
How can there be so much that you don’t know, you don’t know

คุณคิดว่าฉันเป็นคนป่าเถื่อน เพราะคุณคงเคยเดินทางไปเห็นหลายสิ่งหลายอย่าง จากหลายสถานที่แล้ว
แต่ฉันว่าคุณคิดผิด เพราะฉันเห็นว่ายังมีเรื่องราวอีกมากมายเหลือเกินที่คุณยังไม่รู้ ว่าคุณไม่รู้…

หากเพลงนี้ดังขึ้นมา เราเชื่อว่าทุกคนจะต้องรู้จักหรือเคยได้ยินผ่านหูกันมาแน่ ๆ กับ Colors of the Wind เพลงประกอบการ์ตูนดิสนีย์ชื่อดังเรื่อง Pocahontas (โพคาฮอนทัส)

จริง ๆ เพลงนี้อาจจะเป็นเพลงประกอบการ์ตูนทั่วไปสำหรับใครหลายคน รวมถึงตอนสมัยเรายังเด็กด้วย แต่พอได้มาลองฟังอย่างตั้งใจอีกครั้ง เรากลับอึ้งในเนื้อหาของเพลงการ์ตูนวัยเด็กเพลงนี้มาก ๆ ข้อความอันทรงพลังซึ่งพูดถึงทั้งธรรมชาติ และเผ่าพันธุ์มนุษย์ ถูกถ่ายทอดออกมาในภาษาที่ทั้งสวยงามและแข็งแรง บวกกับท่วงทำนองที่ฟังยังไงก็ไม่เบื่อ ทำให้เราหลงรักเพลงนี้เข้าเต็ม ๆ เราเลยอยากจะมาถ่ายทอดสิ่งที่ตีความได้จากเพลงนี้ให้ทุก ๆ คนได้ลองอ่านกัน

ขอเกริ่นก่อนนิดนึงว่าเพลงนี้เป็นเพลงที่ โพคาฮอนทัส ลูกสาวหัวหน้าชนเผ่าอินเดียนแดง ใช้ร้องเพื่อสอน จอห์น สมิธ หนึ่งในทีมนักล่าอนานิคมในเรื่อง ให้เปิดใจเรียนรู้สมดุลย์ของธรรมชาติมากขึ้น แทนที่จะมุ่งแต่จะยึดครองผืนแผ่นดินในบริเวณที่ชนเผ่าของตนอาศัยอยู่เพียงอย่างเดียว

You think you own whatever land you land on
The Earth is just a dead thing you can claim
But I know every rock and tree and creature
Has a life, has a spirit, has a name

คุณคิดว่าคุณเป็นเจ้าของผืนแผ่นดินทุกที่ ๆ คุณไปเหยียบ
เพราะมันก็เป็นแค่เศษซากของสิ่งไม่มีชีวิตเท่านั้นเอง
แต่ฉันรู้ว่าความจริงทุกสิ่งอย่างรอบตัวคุณ ไม่ว่าจะเป็นก้อนหิน ต้นไม้ และสัตว์ต่างๆ
ก็ล้วนแล้วแต่มีชีวิต จิตใจ มีนามที่ใช้เรียกขานกันทั้งนั้น

You think the only people who are people
Are the people who look and think like you
But if you walk the footsteps of a stranger
You’ll learn things you never knew, you never knew

และคุณก็ยังใช้ตนเองเป็นที่ตั้ง ในการตัดสินความเป็นมนุษย์ของผู้อื่น
แต่ถ้าหากคุณลองวางความคิดแบบนั้นลง และถอยออกมามองในมุมอื่นดู
คุณจะได้เรียนรู้ในสิ่งที่คุณไม่มีวันรู้มาก่อนเลย

เริ่มตั้งแต่ท่อนแรกที่เปิดบทความนี้มา โพคาฮอนทัส ตั้งคำถามถึงเรื่องที่ จอห์น สมิธ คิดว่าการได้เดินทางไปทั่วทุกที่ และมีความรู้ทั้งในด้านภาษา และด้านอื่น ๆ นั้น ทำให้เขาเป็นคนที่รอบรู้ทุกอย่าง และเรียกคนที่ไม่มีความรู้แบบตนว่าเป็นคนป่าเถื่อนได้ แต่ทำไมถึงยังมีหลายอย่างเหลือเกินที่เขายังไม่รู้ (ในที่นี้คิดว่าหมายถึงความรู้และความเชื่อด้านธรรมชาติที่ชนพื้นเมืองอินเดียนแดงเชี่ยวชาญ) และการที่เหล่านักล่าอนานิคมในสมัยนั้นมีการใช้อาวุธ มีการรบราฆ่าฟันมากมาย ไม่นับว่าเป็นคนป่าเถื่อนหรือ?

Have you ever heard the wolf cry to the blue corn moon
Or asked the grinning bobcat why he grinned
Can you sing with all the voices of the mountains
Can you paint with all the colors of the wind

คุณเคยได้ยินเสียงหมาป่าเห่าหอนในคืนจันทร์เต็มดวงไหม?
หรือเคยถามแมวป่าหรือเปล่า ว่าทำไมมันถึงยิ้ม?
คุณสามารถร้องเพลงเป็นเสียงก้องกังวาลแห่งขุนเขาได้ไหม?
แล้วคุณสามารถแต่งแต้มสีสันของสายลมได้หรือเปล่า?

ในท่อนนี้ เป็นเหมือนการเปรียบเปรยถึงธรรมชาติของสรรพสิ่งต่าง ๆ ที่ล้วนแล้วแต่มีที่มาที่ไปที่แตกต่างกัน เช่นเดียวกับวัฒนธรรมที่หลากหลายของมนุษย์ และยังเป็นการเน้นย้ำอีกว่า บนโลกใบนี้ยังมีเรื่องราวอีกมากมายเหลือเกินที่เรายังไม่รู้

The rainstorm and the river are my brothers
The heron and the otter are my friends
And we are all connected to each other
In a circle, in a hoop that never ends

ท้องฟ้า เมฆฝน แม่น้ำ ลำธาร และสัตว์ต่างๆ รวมไปถึงมนุษย์
ทุกสิ่งล้วนต้องพึ่งพาอาศัยกันหมด เป็นวงจรแห่งชีวิตที่หมุนไปไม่มีวันสิ้นสุด

How high will the sycamore grow
If you cut it down, then you’ll never know

ต้นไม้ต้นหนึ่งจะสูงได้ถึงขนาดไหน เราจะไม่มีวันรู้เลยหากโค่นมันลง

And you’ll never hear the wolf cry to the blue corn moon
For whether we are white or copper skinned
We need to sing with all the voices of the mountains
We need to paint with all the colors of the wind

และคุณจะไม่มีวันได้ยินเสียงของหมาป่า
ไม่ว่าคุณจะผิวขาว หรือผิวสีทองแดง
เราทุกคนก็ล้วนต้องร้องเพลงด้วยเสียงก้องกังวาลแห่งขุนเขา
และแต่งแต้มสีสันแห่งสายลมต่อไป

ตรงส่วนนี้เป็นการพูดถึงความเชื่อมโยงระหว่างทุก ๆ สิ่งในธรรมชาติ ว่าเราไม่สามารถขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปได้เลย (circle of life) และไม่ว่าคุณจะเป็นคนชาติไหน สีผิวอะไร ก็จะไม่มีวันมีใครได้เห็น และได้ยินเสียงแห่งสรรพสิ่งต่าง ๆ บนโลกนี้อีกต่อไป ถ้าหากว่าไม่ช่วยกันดูแลรักษาให้ดี

You can own the Earth and still
All you’ll own is Earth until
You can paint with all the colors of the wind

คุณคิดว่าคุณเป็นเจ้าของโลกใบนี้ได้
แต่แท้จริงแล้วที่คุณเอาไปได้ ก็เป็นเพียงแค่เศษดินนั่นแหละ
จนกว่าคุณจะแต่งเติมสีสันแห่งสายลมได้ทั้งหมด

และท่อนสุดท้าย มีการเล่นคำอย่างสวยงามระหว่างคำว่า ‘Earth’ ที่แปลว่า ‘โลก’ หรือ ‘ผืนแผ่นดิน’ และในขณะเดียวกันก็แปลว่า ‘ดิน’ ได้เช่นเดียวกัน เป็นการบอกว่า คุณสามารถครอบครองพื้นที่ต่าง ๆ ได้ แต่สิ่งที่คุณครอบครองอยู่ก็เป็นแค่เศษดินธรรมดา จนกว่าคุณจะเข้าใจในธรรมชาติอย่างแท้จริง

Last but not least

สุดท้ายแล้ว เราไม่รู้เหมือนกันว่าสิ่งที่เราตีความได้จากเพลง Colors of the Wind จะถูกต้องตามความคิดของผู้แต่งมากน้อยเพียงใด แต่เรามั่นใจได้อย่างหนึ่งว่าใจความสำคัญหลัก คือการให้ทุกคนได้ลองมองเห็นธรรมชาติรอบตัวรวมทั้งเข้าใจผู้อื่นมากขึ้น ส่วนคำว่า Colors of the Wind ก็อาจหมายถึงความสวยงามของธรรมชาติและความแตกต่างในวัฒนธรรม ข้อความที่เพลงได้ถ่ายทอดออกมานั้น ทำให้เพลงนี้เป็นมากกว่าเพลงประกอบการ์ตูนสำหรับเราจริง ๆ การได้มีเวลาสังเกตุธรรมชาติบ้าง ทำให้เราตระหนักได้ถึงความสำคัญของทุกสิ่งทุกอย่าง การเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน โดยไม่เกี่ยวเลยว่าจะเป็นใคร เป็นอะไร หรือมีต้นกำเนิดมาจากไหน สิ่งเหล่านั้นล้วนไม่ได้คงอยู่เพื่อตนเองเพียงอย่างเดียว

ขอให้ทุกคนร่วมกันดูแลรักษาสายลมให้คงอยู่ซึ่งสีสันที่สวยงามต่อไปนะ 🙂
___
เพลง Colors of the Wind
เนื้อร้อง: Stephen Schwartz
ทำนอง: Alan Menken
Facebook Comments

Next:


Mind Kiatchusak

มายด์ รักและเรียนรู้จากธรรมชาติ หลงสเน่ห์ภาษา ดูคลิปหมา ฟังดนตรี สะสมหนังสือวินเทจ ชอบเขียนกลอนภาษาอังกฤษ แต่ไม่ค่อยมีใครได้อ่าน